วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2557

เที่ยวพม่าแบบบ้านๆ 5: ไจ้ทิโย


สู่เมืองไจ้ทิโย นมัสการพระธาตุอินทร์แขวน
ภาพนี้ถ่ายเอง ขยายภาพแล้วมองดีๆ ใครเข้าใจก็จะเห็น

13.00 น.รถออกเดินทางต่อ meepole นั่งดูทิวทัศน์สองข้างทางที่เงียบ และสงบตลอดทางสวนกับรถบรรทุกไผ่ ผัก ผลไม้ ทุ่งโล่ง และเจดีย์ขนาดเล็กและขนาดกลางสีทองอยู่กลางทุ่ง ชุมชนเล็กๆ  เกือบสองชั่วโมงก็มาถึงจุดให้พักเข้าห้องน้ำ ทานน้ำชา กาแฟ

14.40 น ทดลองกินชาเย็นว่าอร่อยแค่ไหน แต่ไม่รู้สื่อยังไงได้ชาร้อนมา แต่ไม่เป็นไร กินได้ แก้วละ 500 จ๊าด เข้าห้องน้ำเขินๆ เพราะออกมามีเด็กผู้หญิงก็น่าจะสาวแล้วยื่นกระดาษ tissue ที่พับเรียบร้อยให้ เราก็ยิ้มๆ มาได้ยินเสียงถามคุยบนรถจากผู้ชายว่ามีบริการนี้ไหมที่ห้องน้ำหญิง ก็บอกว่ามี แต่ผู้ชายมีมากกว่าคือพอเขาเปิดกลอนคลิก เด็กผู้หญิงก็ดึงประตูเปิดให้เลย ต๊กใจ!! หุ หุ และเด็กมีการบอกขอเงินค่าบริการส่งทิชชูและเปิดประตูด้วย J อันนี้ก็คงคล้ายในไทยที่มีการตั้งโต๊ะหน้าห้องน้ำเก็บเงินค่าเข้า แต่ไม่ต้องตามไปยืนให้ตกใจในห้องน้ำ

15.00 น เดินทางต่อไปเมืองไจ้ทิโย ไปถึงแวะพักที่จุดพักเพื่อเปลี่ยนถ่ายย้ายกระเป๋า เอากระเป๋าเล็กขึ้นไป กระเป๋าใหญ่ก็ทิ้งไว้ในรถบัส เราเตรียมจัดกระเป๋าตั้งแต่ไทยแล้วเลยไม่ต้องทำอะไรนอกจากรอ เตรียมขึ้นรถ 6 ล้อ เห็นรถแล้วไม่แปลกใจเพราะเห็นมาในเน็ตแล้ว เขานำไม้กระดานหุ้มเบาะนิดหน่อยไม่ให้เจ็บก้นมาวางเป็นแถวๆ ให้คนนั่ง บรรทุกคนได้ 40 กว่าคน ไม่เต็มก็ไม่ยอมออก เครื่องยนต์แรงเหลือเฟือสำหรับขึ้นเขาชันๆ สลับโค้งหักศอก ลัดเลาะไปตามป่าทึบริมทางส่วนมากเป็นต้นไผ่ อาจจะมีจังหวะหวาดเสียวบ้างช่วงเข้าโค้ง หรือเจอผิวถนนขรุขระจนคนนั่งเหมือนจะโดนเหวี่ยงออก แต่เพิ่งรู้ว่ามีรถสองแบบคือแบบมีพนักและแบบไม่มีพนักพิง (แบบนี้อันตรายกว่าเพราะการจับลำบาก ไม่มีที่ยึดต้องใช้วิธีเอามือกดจับที่ตัวเก้าอี้ จริงๆต้องเรียก “ม้านั่ง” แบบกระต่ายขูดมะพร้าว)
บน รถแบบไม่มีพนักพิง

 
บน สุดเส้นทางเดิน ทางขึ้น
เที่ยวขึ้นไปรถมีแต่คนหมู่เรา และมีใครไม่รู้อีก 4-5 คนก็ไม่เบียดนั่งสบายๆ ที่นั่งมีพนัก ก็ดีได้ลองแบบนี้ก่อน หันไปมองรถคนพม่าที่ตามมา และนำหน้า คนเต็มเอี๊ยด มีช่วงที่รอรถจะสวนลง ใช้วิทยุสื่อสารติดต่อกัน รออยู่ 20-25 นาที ระหว่างรอก็มีธุรกิจเล็กๆ ให้เด็กมาขายธูป 1000 จั๊ด แพงนะ แต่อุดหนุนเด็กตามระเบียบ ถือว่าสนับสนุนการทำอาชีพสุจริต ชีวิตเขาต้องมีหวัง...ครู่ใหญ่รถเปล่าก็สวนลงมา รถข้างเราก็ขึ้นไปได้ ช่วงท้ายนี่ค่อนข้างชันมาก ประมาณ 20 นาทีก็ถึงช่วงที่คนอยากเก็บบุญลงเดิน มีหน่วยใจกล้า สมัครใจเดินประมาณ  2 km   4 คน หญิง 2 ชายสูงวัย 2 คน (50 up) link และคุณประมวลๆ มา 3 ครั้งแล้ว และจะเดินทุกครั้ง ทางที่เดินเป็นคนละทางที่รถวิ่ง แต่ก็ชัน ใช้เวลาเดิน 30 45 นาที ตรงช่วงเดินนี่ link เก็บภาพที่แตกต่างได้มากเลย (ไม่ค่อยมีคนลงเดินนะ ขอบอก แต่คนพม่ามีแน่นอน)

จากนั้นล้อหมุนต่อผ่านระหว่างทางแวะจอดให้คนพม่ามาดักรอ เอาขันออกมาเรี่ยไรให้ทำบุญ ส่วนมากบอกเอาไปทำถนนขึ้นเขานี่  แวะประมาณ 4 ครั้ง หยุดครั้งแรกก็มีคนใส่เงิน พอจุดที่  4 ก็ไม่มีใครใส่เงินแล้ว ยิ่งขาลงก็เจอแบบนี้อีก ไม่มีใครให้เงินแล้ว หุหุ แต่ไกด์บอกว่าการทำถนนที่ขึ้นสบายปลอดภัยกว่าสมัยก่อนมาก เพราะเงินทำบุญเพราะคล้ายๆเป็นสมาคมที่เป็นผู้ทำ ไม่ไช่รัฐบาล...
 

ถือขันเตรียมรับบริจาคเงิน
รถมาถึงจุดจอดเป็นบริเวณจอดรถสุดท้าย มีคนแบกของ แบกเสลี่ยงสำหรับคนที่เดินไม่ไหว ไม่สะดวกเดิน เราไม่คิดว่าไกล แต่ไม่รู้ว่าไปอีกไกลแค่ไหน ตรงนี้รอให้ทุกคนทยอยปีนลงจากรถ เราลงเกือบสุดท้ายเพราะมรรยาทดี ลงมาก็คิดได้ว่ากระเป๋าอยู่ไหน เดินเวียนรอบรถ ไม่เห็นทั้งคนและกระเป๋าแถวนั้น มองตรงไปเห็นไกด์พม่าเดินลิ่วลอยไปข้างหน้า คนก็ไม่รู้ไปไหน มองหาพระชัดเจนที่สุด เราวิ่งทันเล้ง ก็ถามเรื่องกระเปา เธอก็ไม่รู้เรื่อง ตะโกนต่อถามไกด์อ้อย เธอบอกว่าให้คนแบกไปแล้ แต่สีหน้าเธอไม่พอใจแล้วพูดว่ากระเป๋าต้องดูแลเองตั้งแต่ลงจากรถ เอง เราสะอึกเพราะก่อนลงจากรถเขาไม่พูดอะไร ลงแล้วเราก็ไม่ได้ยินการบอกกล่าว ลงมาก็หายไปกันแล้ว แล้วจะถามใคร??  แต่เราไม่พูดอะไร เพราะอย่างน้อยทุกอย่างก็ยังอยู่และเราก็ดูแลตัวเองได้ ที่ไม่ชอบคือเธอทำหน้าที่ไกด์บกพร่อง เพราะปกติไกด์ต้องนับคน รวมคนที่จุดก่อนแล้วบอกกำหนดการ จึงแยกย้าย อันนี้ติดลบ 2  เลย เป็นลบ 5  แล้ว ต่างจากไกด์ตอนที่ไปฮ่องกงมากเลย หากมองแง่ดีก็ว่าเธอให้เวลาเราอยู่กับตัวเองได้มากขึ้น

เดินไปไม่นานเลยแค่ 200  เมตร ระหว่างเดินขึ้นมาเราเห็นอะไรน่าสนใจก็หยุดดู เจอคนขายของทอดน่าจะเป็นแบบไทยที่คนแขกขายถั่วประมาณนั้น เพิ่งเห็นครั้งแรกเลยสนใจยืนดูคนมาซื้อว่าเขาซื้ออย่างไร เขาขายยังไง เห็นวัยรุ่นมาซื้อแบบ 100 จั๊ด แล้วมีราดน้ำจิ้มที่ใส่ขวดวางไว้ข้างตัวเขา ดูครบก็ลองซื้อบอกเอาทุกอย่างเลยจ่าย 500 จั๊ด มีถั่วทอด ซาโมซา เต้าฮู้(อันนี้เหมือนมันทอดมากกว่า) กำลังจะเดินต่อเห็นชายตาบอดอ้วนเดินร้องขอทานเลยหยุดดู แต่ไม่มีเงินปลีกเลยเดินกลับมาแลกเงินกับคนขายของทอด เขาก็ให้แลกด้วยดี เอามาให้ขอทาน 200 จั๊ด

บน ล่าง ของทอดอร่อยดี แผ่นสี่เหลี่ยมคือเต้าฮู้ เหมือนหัวมัน
บน คนตาบอด
ถึงที่พัก Kyaikhto hotel  เราบังเอิญมองเห็นชื่อเลยหยุด แต่มองไม่เห็นใครที่มาด้วยกันแล้ว งงๆๆ จะทำยังไงดี กำลังตัดสินใจเดินต่อไปข้างหน้าอีก เห็นเล้งออกมาพอดี เอากุญแจห้องมาให้ แล้วเอาสติกเกอร์ที่อะไรสักอย่างบอกว่าติดไว้แล้วชี้ให้เด็กพม่าพาเราไปยังที่พักอีกด้าน เห็นแล้วก็แอบเงิบ!! แล้วก็บอกกับตัวเองว่า “ไม่เป็นไร อะไรก็ได้ ฝึกตัวเองบ้าง” ลงไปตามกระไดชันๆ เข้าห้องพัก ก็ธรรมดา หากไม่เทียบกับอะไรก็ ถือว่าดี ไม่มีกลิ่น สบายตา นี่แหละที่พระท่านว่า “ให้อยู่กับปัจจุบัน” สิ่งที่เห็นตรงหน้าดีที่สุด เขาให้เวลา 15 นาทีตามเวลานัดให้เจอหน้าป้อมจะได้ขึ้นไปไหว้พระธาตุ เลยไม่ได้ทำอะไร ลองเปิดโทรทัศน์มีช่องไทยรู้สึกเป็นช่อง 3 และช่องพม่าที่มีรายการแนะนำวัด สถานที่น่าสนใจในพม่า และมีอีกไม่กี่ช่องล้วนไม่ค่อยน่าสนใจสำหรับเรา เลยไม่ได้ดู โทรทัศน์เขาอีก

ถึงเวลานัด17.30 ออกมาไม่เห็นใครเลย เราก็ดูเวลาก็ไม่ผิดเวลา เดินไปเดินมาเจอคุณแอ๊ว และสามีเพิ่งออกมาจากที่พัก เลยรู้ว่าเขาพักตรงส่วนที่สร้างใหม่ ซึ่งเราอ่านมาก่อนแล้วว่าดีกว่าที่พักเก่าตรงที่เราอยู่ แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องปรุงแต่ง แค่คืนเดียวเพื่อนอน 5-6 ชม. เลยเดินตามๆกัน แต่ต่างคนต่างเดิน เราเจอเด็กขายนกหวีดพม่า แปลกดี ทำกับไม้ไผ่ เสียงดังออกแรงเป่าไม่มาก 500 จั๊ด ช่วยซื้อเด็กอีก (เป็นโรคแพ้เด็ก) ที่เห็นขายอีกอย่างคือแว่นตา ตั้งแผงขายแบบง่ายๆ ไม่ได้ถามว่าราคาเท่าใด
ด่านจ่ายเงิน


ด่านอีกแห่งที่นักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาที่พระธาตุอินทร์แขวน จะต้องเสียค่าธรรมเนียม น่าจะไม่เกิน 10  ดอลล่าร์นะ ถามไกด์อ้อยตอนขาลงเขาไม่บอก แต่พูดว่าไม่แน่ใจแพงมาก เล้งเขาจัดการ ตรงนี้เรารู้ว่าเธอโกหกแล้วล่ะ ไม่เป็นไร เธอทุกข์เองขณะที่โกหก ก็ไม่รู้ว่าทำไมบอกไม่ได้ แต่ไม่ไช่สาระ

จนท.ตรวจก่อนเข้า
เราเดินไต่ขึ้นไปเรื่อยๆเพราะทางชัน ก็เลยไปทันกับบางคนที่ยังเดินแถวนั้น มาถึงซุ้มมีกระไดขึ้นบอกให้รู้ว่า กำลังเข้าเขตพระธาตุอินทร์แขวน เพราะให้ถอดรองเท้า มีที่รับฝาก และมีที่เปลี่ยนผ้าถุงกรณีแต่งไม่เรียบร้อยตอนแรกเราไม่รู้หรอกว่าที่เห็นเป็นห้องอะไร เดาว่าห้องน้ำด้วยซ้ำไป พอเห็นมีสาวๆยืนเปลี่ยนโสร่งเลยนึกได้ ทางขึ้นเจอเจ้าหน้าที่ตรวจสติกเกอร์ เราก็เดินไปเองเรื่อยๆ หันมองซ้ายขวา ที่แปลกตรงเดินเท้าเปล่าในที่สาธารณะนี่แหละ เดินไปก็ไม่ค่อยมีสมาธิ ต้องก้มมามองพื้น คอยหลบอะไรๆที่น่าจะไม่สะอาดเช่น น้ำหมาก หุหุ นี่ถ้าในไทยคงเจอหมากฝรั่ง
ที่ฝากรองเท้า

ห้องเปลี่ยนผ้า
 
มองไปเรื่อยๆตามทางที่ต้องเดินขึ้นไป ซึ่งไม่ไกล แต่ความที่เป็นวันแรกของการเดินทางจากไทยเช้ามืดไปถึงที่นั่นแวะมาหลายที่ จึงรู้สึกอ่อนล้าบ้างและอยากพัก แต่ยังไงก็ต้องไปให้ถึงพระธาตุก่อน

งามดั่งวิมาน จริงๆ
 
ก็เหมือนไทยที่มีพวกชอบเขียนชื่อสลักคำ ที่นี่เขาก็เขียนจนเต็มก้อนหิน
 
มองเห็นพระธาตุอินทร์แขวน ชาวพม่าเรียกว่า “ไจ้ทีโย” ไม่ได้รู้สึกแปลกตา เพราะดูรูปที่มีมากมายจนจำได้ แต่ความรู้สึกที่เกิดกลับเป็นว่า ”ในที่สุดเราก็มาเห็นองค์จริงตรงหน้า ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เราตกลงใจมา  และเป็นบุญที่ได้มากราบนมัสการ”เป็นอะไรอีกสิ่งที่คงไม่ลืมเลยชั่วชีวิต  เดินเข้าไปใกล้พระธาตุได้เห็น ความมหัศจรรย์ที่มีมากว่า 2 พันปี หินก้อนกลมขนาดใหญ่ ตอนนี้เป็นสีทองอร่าม ตั้งอยู่ริมหน้าผาที่มองด้วยสายตาแล้ว เพียงแค่ผลักก็อาจจะทำให้เสียสมดุลจนหล่นลงมาได้ แต่กลับตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งนี้มานานแล้ว ด้านบนเป็นเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ไม่ว่าจะเป็นเพราะความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ หรือ เพราะพระอินทร์มาแขวนไว้ตามความเชื่อ แต่ก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยว และผู้มีจิตศรัทธา ให้เดินทางฝ่าเส้นทางที่ลำบาก ให้มาเยี่ยมเยือนสักการะสักครั้งในชีวิตหลังจากสักการะ
ขวา ห้องสวดมนต์กลางแจ้งบนลานหลังพระธาตุอินทร์แขวน แบ่งเป็นส่วนฆราวาส และพระสงฆ์
บน ที่สำหรับสรงน้ำพระ

รูป เทพทันใจของที่นั่น
 
meepole นั่งสวดมนต์บูชาครู่หนึ่งและเดินชมโดยรอบพระธาตุ เข้าไปในอาคารตรงข้ามที่มีคนเดินออกมา แต่ไม่มีใครเดินเข้าไปนัก เราเดินเข้าไปมีคนในนั้น 3-4 คน เป็นคนมาพักอาศัย มีห้องให้พัก เห็นมีห้องที่พระพม่าใช้พักเพราะท่านเดินออกมา  แต่ไม่มีใครสนใจเรา เรากราบพระที่มีในห้องนั้นพระงาม มาก  เห็นรูปภาพถ่ายในห้องเป็นรูปพระธาตุพร้อมพระสงฆ์ ไม่แน่ใจว่าเป็นรูปถ่ายในโอกาสอะไร เพราะถามใครก็ไม่ได้ บางทีเหมือนคนใบ้ มีแต่ความคิด ถามใครไม่ได้ เพราะเขาก็ฟังเราไม่รู้เรื่อง ชาวบ้านพูดอังกฤษหรือไทยไม่ได้ เราพูดพม่าไม่ได้ สงสัยอะไรต้องหาคำตอบเอง หรือไม่ก็เก็บในใจก่อน

ถ่ายภาพเห็นความศรัทธาของคนที่หลั่งไหลมา ยิ่งไกล้ค่ำคนก็มามากขึ้น มองเห็นคนเริ่มจองที่นอนกันบนลาน เหมือนที่อ่านมาก่อนแล้ว เราถ่ายภาพพระธาตุเมื่อพระอาทิตย๋ค่อยๆลับขอบฟ้า เห็นสีสันที่แปรเปลี่ยน พระธาตุตั้งตระหง่านนิ่งแข็งแรง มีแต่คนที่เดินไปมาขวักไขว่ วุ่นวาย แต่เงียบ มีเสียงสวดมนต์ในห้องสวดมนต์ เราเดินลงเพื่อกลับที่พัก เริ่มมืด คิดถึง link และกลุ่มว่ากลับมาถึงกันหรือยัง และอยู่ที่ไหนกัน เห็นคล้ายศาลาเป็นห้องซ้ายขวา ขาขึ้นยังไม่มืดก็เลยไม่เด่นชัด ตอนขาลงมืดแล้วเปิดไฟทั้งสองห้องจึงมองเข้าไปว่าเป็นอะไร ก็เห็นดังภาพ
 
คนที่ไปมาแล้วคงรู้ว่าเป็นอะไร มีตำนานเล่าเรื่อง ก็ดูรูปก็แล้วกัน ออกมาจากห้องแรก ก็คิดในใจอีกว่าอยากเจอ link จังขอให้เจอเถอะแล้วนึกถึงพระธาตุฯ ก็ไม่ได้คิดมากแค่อยากเจอเพราะมืดแล้ว นึกเสร็จกำลังเดินข้ามไปอีกห้องตรงกันข้าม เห็น link เดินอยู่เลยเรียก ดีใจจัง ก็ชวนไปกราบพระธาตุจำลองอีกห้อง แล้วก็กลับลงมาเขานัดกินข้าวตอนกี่โมงไม่รู้ ก็ลงมาเป็นบุฟเฟ่ เราคงมาช้าแล้ว มีคนกินไม่มาก มีกลุ่มเราด้วย-3-4 คน อาหารก็กินเพื่ออยู่ เสร็จไปพักผ่อน จบวันแรก