วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

เที่ยวพม่าแบบบ้านๆ 5: พระธาตุอินทร์แขวน (2)

พระธาตุอินทร์แขวน (2)


ยามเช้าก็มีคนสักการะมากมาย

พระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจ้ก์ทิโย ในภาษามอญ หมายความว่า หินรูปหัวฤๅษีมีลักษณะเป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันพระธาตุอินทร์แขวนนับเป็น1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ และยังเป็นพระธาตุประจำปีจอ ที่คนเกิดปีนี้ต้องไปนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต

มีรายงานการสำรวจพระธาตุอินทร์แขวนอย่างเป็นทางการตามคำสั่งรัฐบาลพม่า เมื่อปี 2544 โดยคณาจารย์ด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งกรุงย่างกุ้ง ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรน้ำ ได้ข้อมูลที่น่าสนใจคือ หินก้อนนี้เป็นหินแกรนิต น้ำหนัก 611.45 ตัน สูง 8.15 เมตร แต่มีจุดสัมผัส (Contact Area) เพียง 0.714 ตารางเมตร องค์เจดีย์หนัก 19.45 ตัน สูง 3.11 เมตร รวมก้อนหินกับเจดีย์หนักรวมกัน 630.9 ตัน
ความเชื่อของคนพม่า บอกว่าในชีวิตนี้เราควรขึ้นมาไหว้สักการะพระธาตุให้ครบ 3 ครั้ง คนเตินทางมาจากที่ไกลๆก็เลยมีการประยุกต์ไปไหว้ 3 ครั้งในทริปเดียวนี่แหละ จึงจะถือว่าได้บุญสูงสุด  ครั้งนี้ meepole ขึ้นไปไหว้พระธาตุ 2 ครั้ง เพราะหลังจากทานอาหารเย็นที่โรงแรม ก็ขอเข้านอนเพราะวันนี้ตั้งแต่ตี 4 แล้ว ตั้งใจมากราบนมัสการตอนกลับในช่วงเช้า

ของไหว้ที่นำมาถวายในยามเช้าเป็นถาดๆ
ในเช้าวันที่สอง เราตื่นกันเเต่เช้าราวตี 4 ออกมาก็เจอพระพม่าเดินบิณฑบาตพอดี ได้เตรียมผลไม้ไว้แล้ว แต่ทันทีที่จะตักบาตรก็มีเด็กพม่าโผล่ออกมาจากไหนไม่รู้มาขายข้าวกับกับข้าวที่ไม่น่าดูนักเพราะใส่ข้าวและกับข้าวในถุงกอบแกบโดยตรงและห่อเล็กมาก 1000 จั๊ด และเดินตามกวนข้างๆร้องบอกให้ซื้ออีกตลอด ซื้อของคนหนึ่งก็จะมีคนอื่นขอให้ซื้ออีก (แอบนึกถึงว่าเกือบเหมือนอินเดียเลยนะนี่) ได้ตักบาตรพระ 4 รูป เเล้วเดินเท้าเปล่าขึ้นสู่พระธาตุอีกครั้ง

อาหารที่นำมาถวายสักการะ วางตั้งเต็มไปหมด จะเห็นตู้ใส่เงินมากมายวางทั่วเกือบร้อยใบในบริเวณรอบๆนั้น และปลอดภัยไม่มีใครยก
  ยามเช้าเพิ่งตื่น นั่งเป็นกลุ่มๆ

 
มีทั้งคนที่ลงไปและขึ้นมาใหม่ เดินสวนกันขวักไข่ว
   ขณะที่เดินขึ้นไปก็มีคนเดินสวนลงมาเยอะมาก เขาตื่นเช้ามาก คงไหว้พระธาตุแล้ว เราเดินตั้งแต่ยังไม่สว่าง ถึงข้างบนก็ยังมืดอยู่ เห็นคนตื่นบ้างนั่งๆนอนๆบ้าง หลายอิริยาบถ เด็กๆก็สนุกสนานกับขาโจ๋  
เด็กๆประลองกำลังรถ
 เราเห็นคนถือถาดมีของบูชาอยู่เต็มถาดเดินมาเป็นระยะๆ เดินดูว่าเขาทำอะไรกัน ก็เลยเข้าใจว่าเอาไปไหว้บูชาพระธาตุมีวางไว้เต็มไปหมด แต่ของที่ใช้ไหว้ก็แปลกจากบ้านเรา ราคาเทียบกับคุณภาพของแล้วค่อนข้างแพง 3000- 5000 จี้ด/ ถาด
ทางลงไปตลาดด้านล่าง
link พาไปเดินที่ตลาดด้านล่างมีของกินขายพอควร และมีขายดอกไม้ซึ่งก็โก่งราคาอีก แข่งกันขายด้วยดูการขายแล้วทำให้ไม่อยากซื้อ เลยไม่ซื้อเพราะจิตตกกับวิธีการขาย เดินจนสุดถนนสายบน ไม่ลงไปอีกชั้น ก็กลับ ดูร้านน้ำชากาแฟ ท่องโก๋ตัวใหญ่ๆ ซื้อมาไหว้พระ และใส่บาตรอีก ไม่ได้ลองกินเองเพราะดูแล้วมันๆ

แผงร้านขายลอตเตอรี่


 กระดิ่งไว้แขนที่รั้วรอบพระธาตุ
 
พระออกบิณทบาต
 
ตลาดด้านล่าง มีของขายเยอะแต่ตั้งราคาสูงกว่าปกติอยู่
ข้าวเหนียวสีจัดกว่าบ้านเรา
บน ขนมคล้ายปลากริมบ้านเรา แต่อันนี้ไม่หอมเท่าและน้ำใส
 
 

นมัสการลาแล้วเดินกลับลงมา ระหว่างทางก็เห็นเขาวางขายคล้ายๆขนมปลากริมบ้านเรา link ลอง แก้วละ-300 จั๊ด เราไม่ชอบลอง

ท่อนไม้ไผ่ไว้ทำไม้เท้า
เดินลงมาครั้งนี้ได้คำตอบของสิ่งที่เห็นเมื่อวานว่าวางขายไว้ทำอะไร นั่นคือท่อนไม้ไผ่ ใช้เป็นไม้เท้าค้ำยันตัวขาเดินลงเพราะหลายช่วงชัน

เราแวะไปห้องอาหาร link ทำสติกเกอร์หรือบัตร ไม่แน่ใจหายไป เราเลยบอกว่าขอใช้กุญแจห้องแสดงแทน เขายอมเลยได้เข้าไปกิน รีบๆกิน เพราะส่วนใหญ่กินกันเสร็จแล้ว ก็กินเพื่ออยู่อีก เอากระเป๋าเคคืนห้อง เดินทางกลับลงมา คราวนี้ได้รถแบบไม่มีพนักพิง เราก็ไม่เข้าใจจริงๆไกด์สามารถรอรถได้ เลือกเอาคันที่มีพนักพิงซึ่งปลอดภัยกว่ามาก นี่หลายคนบ่น และไม่สะดวกในการยันตัวมาก เราแอบกระซิบ link ว่าไกด์ไม่น่ารักอีกแล้วอาแต่ทำเวลาซึ่งก็ทันอยู่แล้ว ไม่คำนึงความปลอดภัยสูงสุดของลูกค้า เพระท่านก็นั่งหน้าติดกับตัวรถท่านที่นั่งแถวแรกจะจับราวหน้าได้ แต่แถวสองลำบากหน่อย (งานนี้ -2)

ก็เหมือนเดิมลงมาได้ช่วงหนึ่งก็จอดรอรถที่สวนขึ้นมา คราวนี้รอนานหน่อย 20 นาทีเศษ ขาลงนี่เร็ว เสียวไส้เมื่อจ่อติดกับคันหน้า มีช่วงที่เขาหยุดชะลอให้คันหน้าทิ้งระยะห่าง ลงมาถึงท่ารถก็ขนของลงขึ้นบัสอีก เดินทางต่อ
เพิ่มคำอธิบายภาพผู้สูงวัยก็นั่งเสลี่ยงลงมาที่จุดจอดรถ จริงๆไม่ไกลนะ เพียงแต่ทางลาดลง อาจเดินไม่สะดวก  meepole  เดินเองเพื่อพิสูจน์ว่าวัยยังไม่สูงพอ

สิ่งที่คนเชื่อก็อาจไม่จำเป็นต้องพิสูจน์หาความจริงเสมอไป ว่าทำไมหินจึงตั้งอยู่ได้ตามที่มีข้อสันนิษฐานต่างๆทางวิทยาศาสตร์ ขอให้สิ่งนี้ได้เป็นศูนย์รวมใจ หรือที่พึ่งทางใจ ให้ความสุขกับการเดินทางแสวงบุญของผู้มีศรัทธาตลอดไปก็ดีแล้ว

 

วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2557

เที่ยวพม่าแบบบ้านๆ 5: ไจ้ทิโย


สู่เมืองไจ้ทิโย นมัสการพระธาตุอินทร์แขวน
ภาพนี้ถ่ายเอง ขยายภาพแล้วมองดีๆ ใครเข้าใจก็จะเห็น

13.00 น.รถออกเดินทางต่อ meepole นั่งดูทิวทัศน์สองข้างทางที่เงียบ และสงบตลอดทางสวนกับรถบรรทุกไผ่ ผัก ผลไม้ ทุ่งโล่ง และเจดีย์ขนาดเล็กและขนาดกลางสีทองอยู่กลางทุ่ง ชุมชนเล็กๆ  เกือบสองชั่วโมงก็มาถึงจุดให้พักเข้าห้องน้ำ ทานน้ำชา กาแฟ

14.40 น ทดลองกินชาเย็นว่าอร่อยแค่ไหน แต่ไม่รู้สื่อยังไงได้ชาร้อนมา แต่ไม่เป็นไร กินได้ แก้วละ 500 จ๊าด เข้าห้องน้ำเขินๆ เพราะออกมามีเด็กผู้หญิงก็น่าจะสาวแล้วยื่นกระดาษ tissue ที่พับเรียบร้อยให้ เราก็ยิ้มๆ มาได้ยินเสียงถามคุยบนรถจากผู้ชายว่ามีบริการนี้ไหมที่ห้องน้ำหญิง ก็บอกว่ามี แต่ผู้ชายมีมากกว่าคือพอเขาเปิดกลอนคลิก เด็กผู้หญิงก็ดึงประตูเปิดให้เลย ต๊กใจ!! หุ หุ และเด็กมีการบอกขอเงินค่าบริการส่งทิชชูและเปิดประตูด้วย J อันนี้ก็คงคล้ายในไทยที่มีการตั้งโต๊ะหน้าห้องน้ำเก็บเงินค่าเข้า แต่ไม่ต้องตามไปยืนให้ตกใจในห้องน้ำ

15.00 น เดินทางต่อไปเมืองไจ้ทิโย ไปถึงแวะพักที่จุดพักเพื่อเปลี่ยนถ่ายย้ายกระเป๋า เอากระเป๋าเล็กขึ้นไป กระเป๋าใหญ่ก็ทิ้งไว้ในรถบัส เราเตรียมจัดกระเป๋าตั้งแต่ไทยแล้วเลยไม่ต้องทำอะไรนอกจากรอ เตรียมขึ้นรถ 6 ล้อ เห็นรถแล้วไม่แปลกใจเพราะเห็นมาในเน็ตแล้ว เขานำไม้กระดานหุ้มเบาะนิดหน่อยไม่ให้เจ็บก้นมาวางเป็นแถวๆ ให้คนนั่ง บรรทุกคนได้ 40 กว่าคน ไม่เต็มก็ไม่ยอมออก เครื่องยนต์แรงเหลือเฟือสำหรับขึ้นเขาชันๆ สลับโค้งหักศอก ลัดเลาะไปตามป่าทึบริมทางส่วนมากเป็นต้นไผ่ อาจจะมีจังหวะหวาดเสียวบ้างช่วงเข้าโค้ง หรือเจอผิวถนนขรุขระจนคนนั่งเหมือนจะโดนเหวี่ยงออก แต่เพิ่งรู้ว่ามีรถสองแบบคือแบบมีพนักและแบบไม่มีพนักพิง (แบบนี้อันตรายกว่าเพราะการจับลำบาก ไม่มีที่ยึดต้องใช้วิธีเอามือกดจับที่ตัวเก้าอี้ จริงๆต้องเรียก “ม้านั่ง” แบบกระต่ายขูดมะพร้าว)
บน รถแบบไม่มีพนักพิง

 
บน สุดเส้นทางเดิน ทางขึ้น
เที่ยวขึ้นไปรถมีแต่คนหมู่เรา และมีใครไม่รู้อีก 4-5 คนก็ไม่เบียดนั่งสบายๆ ที่นั่งมีพนัก ก็ดีได้ลองแบบนี้ก่อน หันไปมองรถคนพม่าที่ตามมา และนำหน้า คนเต็มเอี๊ยด มีช่วงที่รอรถจะสวนลง ใช้วิทยุสื่อสารติดต่อกัน รออยู่ 20-25 นาที ระหว่างรอก็มีธุรกิจเล็กๆ ให้เด็กมาขายธูป 1000 จั๊ด แพงนะ แต่อุดหนุนเด็กตามระเบียบ ถือว่าสนับสนุนการทำอาชีพสุจริต ชีวิตเขาต้องมีหวัง...ครู่ใหญ่รถเปล่าก็สวนลงมา รถข้างเราก็ขึ้นไปได้ ช่วงท้ายนี่ค่อนข้างชันมาก ประมาณ 20 นาทีก็ถึงช่วงที่คนอยากเก็บบุญลงเดิน มีหน่วยใจกล้า สมัครใจเดินประมาณ  2 km   4 คน หญิง 2 ชายสูงวัย 2 คน (50 up) link และคุณประมวลๆ มา 3 ครั้งแล้ว และจะเดินทุกครั้ง ทางที่เดินเป็นคนละทางที่รถวิ่ง แต่ก็ชัน ใช้เวลาเดิน 30 45 นาที ตรงช่วงเดินนี่ link เก็บภาพที่แตกต่างได้มากเลย (ไม่ค่อยมีคนลงเดินนะ ขอบอก แต่คนพม่ามีแน่นอน)

จากนั้นล้อหมุนต่อผ่านระหว่างทางแวะจอดให้คนพม่ามาดักรอ เอาขันออกมาเรี่ยไรให้ทำบุญ ส่วนมากบอกเอาไปทำถนนขึ้นเขานี่  แวะประมาณ 4 ครั้ง หยุดครั้งแรกก็มีคนใส่เงิน พอจุดที่  4 ก็ไม่มีใครใส่เงินแล้ว ยิ่งขาลงก็เจอแบบนี้อีก ไม่มีใครให้เงินแล้ว หุหุ แต่ไกด์บอกว่าการทำถนนที่ขึ้นสบายปลอดภัยกว่าสมัยก่อนมาก เพราะเงินทำบุญเพราะคล้ายๆเป็นสมาคมที่เป็นผู้ทำ ไม่ไช่รัฐบาล...
 

ถือขันเตรียมรับบริจาคเงิน
รถมาถึงจุดจอดเป็นบริเวณจอดรถสุดท้าย มีคนแบกของ แบกเสลี่ยงสำหรับคนที่เดินไม่ไหว ไม่สะดวกเดิน เราไม่คิดว่าไกล แต่ไม่รู้ว่าไปอีกไกลแค่ไหน ตรงนี้รอให้ทุกคนทยอยปีนลงจากรถ เราลงเกือบสุดท้ายเพราะมรรยาทดี ลงมาก็คิดได้ว่ากระเป๋าอยู่ไหน เดินเวียนรอบรถ ไม่เห็นทั้งคนและกระเป๋าแถวนั้น มองตรงไปเห็นไกด์พม่าเดินลิ่วลอยไปข้างหน้า คนก็ไม่รู้ไปไหน มองหาพระชัดเจนที่สุด เราวิ่งทันเล้ง ก็ถามเรื่องกระเปา เธอก็ไม่รู้เรื่อง ตะโกนต่อถามไกด์อ้อย เธอบอกว่าให้คนแบกไปแล้ แต่สีหน้าเธอไม่พอใจแล้วพูดว่ากระเป๋าต้องดูแลเองตั้งแต่ลงจากรถ เอง เราสะอึกเพราะก่อนลงจากรถเขาไม่พูดอะไร ลงแล้วเราก็ไม่ได้ยินการบอกกล่าว ลงมาก็หายไปกันแล้ว แล้วจะถามใคร??  แต่เราไม่พูดอะไร เพราะอย่างน้อยทุกอย่างก็ยังอยู่และเราก็ดูแลตัวเองได้ ที่ไม่ชอบคือเธอทำหน้าที่ไกด์บกพร่อง เพราะปกติไกด์ต้องนับคน รวมคนที่จุดก่อนแล้วบอกกำหนดการ จึงแยกย้าย อันนี้ติดลบ 2  เลย เป็นลบ 5  แล้ว ต่างจากไกด์ตอนที่ไปฮ่องกงมากเลย หากมองแง่ดีก็ว่าเธอให้เวลาเราอยู่กับตัวเองได้มากขึ้น

เดินไปไม่นานเลยแค่ 200  เมตร ระหว่างเดินขึ้นมาเราเห็นอะไรน่าสนใจก็หยุดดู เจอคนขายของทอดน่าจะเป็นแบบไทยที่คนแขกขายถั่วประมาณนั้น เพิ่งเห็นครั้งแรกเลยสนใจยืนดูคนมาซื้อว่าเขาซื้ออย่างไร เขาขายยังไง เห็นวัยรุ่นมาซื้อแบบ 100 จั๊ด แล้วมีราดน้ำจิ้มที่ใส่ขวดวางไว้ข้างตัวเขา ดูครบก็ลองซื้อบอกเอาทุกอย่างเลยจ่าย 500 จั๊ด มีถั่วทอด ซาโมซา เต้าฮู้(อันนี้เหมือนมันทอดมากกว่า) กำลังจะเดินต่อเห็นชายตาบอดอ้วนเดินร้องขอทานเลยหยุดดู แต่ไม่มีเงินปลีกเลยเดินกลับมาแลกเงินกับคนขายของทอด เขาก็ให้แลกด้วยดี เอามาให้ขอทาน 200 จั๊ด

บน ล่าง ของทอดอร่อยดี แผ่นสี่เหลี่ยมคือเต้าฮู้ เหมือนหัวมัน
บน คนตาบอด
ถึงที่พัก Kyaikhto hotel  เราบังเอิญมองเห็นชื่อเลยหยุด แต่มองไม่เห็นใครที่มาด้วยกันแล้ว งงๆๆ จะทำยังไงดี กำลังตัดสินใจเดินต่อไปข้างหน้าอีก เห็นเล้งออกมาพอดี เอากุญแจห้องมาให้ แล้วเอาสติกเกอร์ที่อะไรสักอย่างบอกว่าติดไว้แล้วชี้ให้เด็กพม่าพาเราไปยังที่พักอีกด้าน เห็นแล้วก็แอบเงิบ!! แล้วก็บอกกับตัวเองว่า “ไม่เป็นไร อะไรก็ได้ ฝึกตัวเองบ้าง” ลงไปตามกระไดชันๆ เข้าห้องพัก ก็ธรรมดา หากไม่เทียบกับอะไรก็ ถือว่าดี ไม่มีกลิ่น สบายตา นี่แหละที่พระท่านว่า “ให้อยู่กับปัจจุบัน” สิ่งที่เห็นตรงหน้าดีที่สุด เขาให้เวลา 15 นาทีตามเวลานัดให้เจอหน้าป้อมจะได้ขึ้นไปไหว้พระธาตุ เลยไม่ได้ทำอะไร ลองเปิดโทรทัศน์มีช่องไทยรู้สึกเป็นช่อง 3 และช่องพม่าที่มีรายการแนะนำวัด สถานที่น่าสนใจในพม่า และมีอีกไม่กี่ช่องล้วนไม่ค่อยน่าสนใจสำหรับเรา เลยไม่ได้ดู โทรทัศน์เขาอีก

ถึงเวลานัด17.30 ออกมาไม่เห็นใครเลย เราก็ดูเวลาก็ไม่ผิดเวลา เดินไปเดินมาเจอคุณแอ๊ว และสามีเพิ่งออกมาจากที่พัก เลยรู้ว่าเขาพักตรงส่วนที่สร้างใหม่ ซึ่งเราอ่านมาก่อนแล้วว่าดีกว่าที่พักเก่าตรงที่เราอยู่ แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องปรุงแต่ง แค่คืนเดียวเพื่อนอน 5-6 ชม. เลยเดินตามๆกัน แต่ต่างคนต่างเดิน เราเจอเด็กขายนกหวีดพม่า แปลกดี ทำกับไม้ไผ่ เสียงดังออกแรงเป่าไม่มาก 500 จั๊ด ช่วยซื้อเด็กอีก (เป็นโรคแพ้เด็ก) ที่เห็นขายอีกอย่างคือแว่นตา ตั้งแผงขายแบบง่ายๆ ไม่ได้ถามว่าราคาเท่าใด
ด่านจ่ายเงิน


ด่านอีกแห่งที่นักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาที่พระธาตุอินทร์แขวน จะต้องเสียค่าธรรมเนียม น่าจะไม่เกิน 10  ดอลล่าร์นะ ถามไกด์อ้อยตอนขาลงเขาไม่บอก แต่พูดว่าไม่แน่ใจแพงมาก เล้งเขาจัดการ ตรงนี้เรารู้ว่าเธอโกหกแล้วล่ะ ไม่เป็นไร เธอทุกข์เองขณะที่โกหก ก็ไม่รู้ว่าทำไมบอกไม่ได้ แต่ไม่ไช่สาระ

จนท.ตรวจก่อนเข้า
เราเดินไต่ขึ้นไปเรื่อยๆเพราะทางชัน ก็เลยไปทันกับบางคนที่ยังเดินแถวนั้น มาถึงซุ้มมีกระไดขึ้นบอกให้รู้ว่า กำลังเข้าเขตพระธาตุอินทร์แขวน เพราะให้ถอดรองเท้า มีที่รับฝาก และมีที่เปลี่ยนผ้าถุงกรณีแต่งไม่เรียบร้อยตอนแรกเราไม่รู้หรอกว่าที่เห็นเป็นห้องอะไร เดาว่าห้องน้ำด้วยซ้ำไป พอเห็นมีสาวๆยืนเปลี่ยนโสร่งเลยนึกได้ ทางขึ้นเจอเจ้าหน้าที่ตรวจสติกเกอร์ เราก็เดินไปเองเรื่อยๆ หันมองซ้ายขวา ที่แปลกตรงเดินเท้าเปล่าในที่สาธารณะนี่แหละ เดินไปก็ไม่ค่อยมีสมาธิ ต้องก้มมามองพื้น คอยหลบอะไรๆที่น่าจะไม่สะอาดเช่น น้ำหมาก หุหุ นี่ถ้าในไทยคงเจอหมากฝรั่ง
ที่ฝากรองเท้า

ห้องเปลี่ยนผ้า
 
มองไปเรื่อยๆตามทางที่ต้องเดินขึ้นไป ซึ่งไม่ไกล แต่ความที่เป็นวันแรกของการเดินทางจากไทยเช้ามืดไปถึงที่นั่นแวะมาหลายที่ จึงรู้สึกอ่อนล้าบ้างและอยากพัก แต่ยังไงก็ต้องไปให้ถึงพระธาตุก่อน

งามดั่งวิมาน จริงๆ
 
ก็เหมือนไทยที่มีพวกชอบเขียนชื่อสลักคำ ที่นี่เขาก็เขียนจนเต็มก้อนหิน
 
มองเห็นพระธาตุอินทร์แขวน ชาวพม่าเรียกว่า “ไจ้ทีโย” ไม่ได้รู้สึกแปลกตา เพราะดูรูปที่มีมากมายจนจำได้ แต่ความรู้สึกที่เกิดกลับเป็นว่า ”ในที่สุดเราก็มาเห็นองค์จริงตรงหน้า ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เราตกลงใจมา  และเป็นบุญที่ได้มากราบนมัสการ”เป็นอะไรอีกสิ่งที่คงไม่ลืมเลยชั่วชีวิต  เดินเข้าไปใกล้พระธาตุได้เห็น ความมหัศจรรย์ที่มีมากว่า 2 พันปี หินก้อนกลมขนาดใหญ่ ตอนนี้เป็นสีทองอร่าม ตั้งอยู่ริมหน้าผาที่มองด้วยสายตาแล้ว เพียงแค่ผลักก็อาจจะทำให้เสียสมดุลจนหล่นลงมาได้ แต่กลับตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งนี้มานานแล้ว ด้านบนเป็นเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ไม่ว่าจะเป็นเพราะความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ หรือ เพราะพระอินทร์มาแขวนไว้ตามความเชื่อ แต่ก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยว และผู้มีจิตศรัทธา ให้เดินทางฝ่าเส้นทางที่ลำบาก ให้มาเยี่ยมเยือนสักการะสักครั้งในชีวิตหลังจากสักการะ
ขวา ห้องสวดมนต์กลางแจ้งบนลานหลังพระธาตุอินทร์แขวน แบ่งเป็นส่วนฆราวาส และพระสงฆ์
บน ที่สำหรับสรงน้ำพระ

รูป เทพทันใจของที่นั่น
 
meepole นั่งสวดมนต์บูชาครู่หนึ่งและเดินชมโดยรอบพระธาตุ เข้าไปในอาคารตรงข้ามที่มีคนเดินออกมา แต่ไม่มีใครเดินเข้าไปนัก เราเดินเข้าไปมีคนในนั้น 3-4 คน เป็นคนมาพักอาศัย มีห้องให้พัก เห็นมีห้องที่พระพม่าใช้พักเพราะท่านเดินออกมา  แต่ไม่มีใครสนใจเรา เรากราบพระที่มีในห้องนั้นพระงาม มาก  เห็นรูปภาพถ่ายในห้องเป็นรูปพระธาตุพร้อมพระสงฆ์ ไม่แน่ใจว่าเป็นรูปถ่ายในโอกาสอะไร เพราะถามใครก็ไม่ได้ บางทีเหมือนคนใบ้ มีแต่ความคิด ถามใครไม่ได้ เพราะเขาก็ฟังเราไม่รู้เรื่อง ชาวบ้านพูดอังกฤษหรือไทยไม่ได้ เราพูดพม่าไม่ได้ สงสัยอะไรต้องหาคำตอบเอง หรือไม่ก็เก็บในใจก่อน

ถ่ายภาพเห็นความศรัทธาของคนที่หลั่งไหลมา ยิ่งไกล้ค่ำคนก็มามากขึ้น มองเห็นคนเริ่มจองที่นอนกันบนลาน เหมือนที่อ่านมาก่อนแล้ว เราถ่ายภาพพระธาตุเมื่อพระอาทิตย๋ค่อยๆลับขอบฟ้า เห็นสีสันที่แปรเปลี่ยน พระธาตุตั้งตระหง่านนิ่งแข็งแรง มีแต่คนที่เดินไปมาขวักไขว่ วุ่นวาย แต่เงียบ มีเสียงสวดมนต์ในห้องสวดมนต์ เราเดินลงเพื่อกลับที่พัก เริ่มมืด คิดถึง link และกลุ่มว่ากลับมาถึงกันหรือยัง และอยู่ที่ไหนกัน เห็นคล้ายศาลาเป็นห้องซ้ายขวา ขาขึ้นยังไม่มืดก็เลยไม่เด่นชัด ตอนขาลงมืดแล้วเปิดไฟทั้งสองห้องจึงมองเข้าไปว่าเป็นอะไร ก็เห็นดังภาพ
 
คนที่ไปมาแล้วคงรู้ว่าเป็นอะไร มีตำนานเล่าเรื่อง ก็ดูรูปก็แล้วกัน ออกมาจากห้องแรก ก็คิดในใจอีกว่าอยากเจอ link จังขอให้เจอเถอะแล้วนึกถึงพระธาตุฯ ก็ไม่ได้คิดมากแค่อยากเจอเพราะมืดแล้ว นึกเสร็จกำลังเดินข้ามไปอีกห้องตรงกันข้าม เห็น link เดินอยู่เลยเรียก ดีใจจัง ก็ชวนไปกราบพระธาตุจำลองอีกห้อง แล้วก็กลับลงมาเขานัดกินข้าวตอนกี่โมงไม่รู้ ก็ลงมาเป็นบุฟเฟ่ เราคงมาช้าแล้ว มีคนกินไม่มาก มีกลุ่มเราด้วย-3-4 คน อาหารก็กินเพื่ออยู่ เสร็จไปพักผ่อน จบวันแรก

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2557

เที่ยวพม่าแบบบ้านๆ 4: พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว


พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว
เมื่อทานอาหารเที่ยงมื้อแรกเสร็จ ขึ้นรถเรียบร้อย รอไกด์เคลียร์ค่าใช้จ่ายกับร้าน พร้อมกับเด็กพม่าที่ยังคงมองมาที่รถพร้อมพึมพำอะไรเป็นระยะ แต่เราเองก็รู้สึกเป็นสุขลึกๆ แล้วรถก็เคลื่อนต่อไป  ชีวิตพวกเขาก็ดำเนินต่อไป
12.10 น.ไกด์บอกว่าต่อไปนี้จะเดินทางไกลอย่างน้อย 4 ชั่วโมงจะถึงปลายทางคือภูเขาไจ้เที่ยว เพื่อนมัสการพระธาตุอินทร์แขวน ...แต่ระหว่างทางจะผ่านโบราณสถานที่สำคัญที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองหงสา (นอกจากพระธาตุมุเตา) คือ พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว ที่คนไทยเรียกกันว่า พระนอนชเวตาเลียว
พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว (Shwethalyaung Buddha) เป็นพระนอนองศ์สีขาวสร้างโดยพระเจ้าเมงกะติปะ กษัตริย์มอญ เมื่อ พ.ศ.1537 ปัจจุบันพระนอนองค์นี้มีอายุ 1018 ปี ยาว 55 เมตร ซึ่งเป็นพระนอนไสยาสน์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 (รองจากพระนอนตาหวาน ที่ยาว 70 เมตร) มีพุทธลักษณะงดงาม โดยจะวางพระบาทเหลื่อมพระบาท ต่างจากพระพุทธไสยาสน์ของไทยที่นิยมวางพระบาทเสมอกัน และถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน และได้มีการค้นพบเมื่อราว 100 ปีก่อน ครั้งที่อังกฤษเดินทางมาสำรวจเส้นทางรถไฟในพม่า จากนั้นจึงได้บูรณะ มีพุทธลักษณะแตกต่างจากของไทยโดยเฉพาะที่พระบาท ที่จะไม่ตั้งชิดกัน แต่จะเกยกันเหมือนลักษณะของคนจริง ๆ ด้านหลังพระพุทธไสยาสน์ จะมีรูปภาพเล่าเรื่องราวประวัติการสร้างไว้
 
บน นร.พม่า ผ้าถุงเขียว เสื้อขาว มากราบพระ ด้วยกิริยาที่สงบ และตั้งใจมาก
ล่าง รูปวาดประวัติการสร้างตามตำนาน
 
 
ด้านหน้าข้างล่างของพระนอนนั้นเป็นจุดซื้อขายสินค้าพม่า โดยสินค้าที่เด่นๆก็เห็นจะเป็น งานไม้และงานฝีมือของพ่อค้าแม่ค้าชาวพม่าที่มีวางขายอยู่ทั่วไป เดี๋ยวนี้พม่าขายของเก่ง ต้องต่อราคาราว 30-40% ของที่บอก เราซื้อกังสดาล 1 ชิ้น 1500 บาท แพงหรือไม่ก็ไม่รู้เพราะซื้อมาถวายพระอาจารย์เอาไว้ตี บอกสัญญาณตอนประชุมพระ
ล้อหมุนอีกครั้งตอน 13.00 น.ซึ่งหลังจากนี้เราเริ่มจับสังเกตวิธีปฏิบัติของไกด์อ้อยได้อย่างหนึ่งคือ เธอจะนั่งหน้าสุดหลังคนขับ แล้วจะบอกเหมือนบ่นดังๆว่าสถานที่ที่กำลังจะผ่าน หรือผ่านพอดีคืออะไร ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคิดว่าไม่ดี เพราะถ่ายรูปไม่ทัน บางครั้งมองแล้วยังงง เพราะเธอไม่ได้บอกว่าอยู่ทางซ้ายหรือทางขวา ต้องหันสองทาง แล้วบางครั้งรถก็ผ่านไปแล้ว ติดลบเธอเป็น (-3)
ระหว่างเส้นทางนี้ส่วนใหญ่ผู้ร่วมทางจะหลับตลอด ไกด์หลับจนเราต้องถามว่านี่แม่น้ำสะโตงใช่ไหม เธอตื่นแล้วบอกว่า “ใช่”แล้วเธอก็พูดสิ่งที่อยากพูด สักครู่ก็หลับต่อ ส่วนเราและ link เพลิดเพลินกับทิวทัศน์แบบชนบทที่ยังเป็นธรรมชาติ ที่สังเกตระหว่างทางนี้เป็นนาถั่ว นาข้าว ทุ่งโล่ง แทบไม่มีป่าแบบบ้านเรา (พม่ามีเนื้อที่เป็นป่าเขาราวร้อยละ 45-50 เป็นทุ่งหญ้าร้อยละ 25 และพื้นที่เพาะปลูกร้อยละ 15 ประชาชนส่วนใหญ่ทำการเกษตร)
 
เส้นทางตลอดมีแตงโมวางขายข้างถนนเยอะมาก ลูกโตๆ เขาว่าแตงโมที่นี่มีทั้งปี ส่งไปประเทศจีน อีกสิ่งที่เห็นก็คือไม้ไผ่ มีการขนส่งไม้ไผ่  ที่พม่ามีการใช้ประโยชน์จากไม้ไผ่เยอะมาก  ฝาบ้าน รั้วบ้าน ไม้เท้ายัน ของเล่นต่างๆ กระทั่งปืนเด็กเล่นก็ทำจากไม้ไผ่ (มีรูปให้ดู)
 ชาวบ้านกับนาถั่ว เก็บถั่วใส่กระสอบ
 
นอกจากนี้ยังเห็นเจดีย์สีทองเป็นระยะๆ กระทั่งกลางทุ่งก็มี ใหญ่บ้างเล็กบ้าง อันนี้ไม่รู้ว่าบรรจุอะไรหรือไม่ แต่ทุกเจดีย์จะสีทอง และไม่ทรุดโทรมเหมือนมีการดูแล

วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557

เที่ยวพม่าแบบบ้านๆ 3 : วัดไจ้คะวาย (Kyakhat wine monastery)


วัดไจ้คะวาย

วัดไจ้คะวายเป็นสถานศึกษาพระปริยัติธรรม คล้ายกับวิทยาลัยสงฆ์ในบ้านเรา แต่พระที่มาเรียน มาศึกษาจะต้องอยู่ประจำที่นี่ เหมือนเป็นโรงเรียนกิน-นอนในสมัยก่อน จึงเป็นวัดเดียวที่ได้พบพระสงฆ์จำนวนมาก เราไปถึงวัดไจ้คะวายราว 11 โมง จริงๆแล้วควรจะต้องไปตักบาตรและถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่เจ้าอาวาส แต่เพราะเราไปสายจึงไม่เหมาะ รออยู่ไม่นานก็เห็นพระพม่าเป็นจำนวนมากเดินเรียงแถวออกมาจากด้านหลัง เพื่อรับบิณฑบาตจากนักท่องเที่ยวด้วยข้าวสวยที่ทางวัดเตรียมไว้ ตอนเราไปถึงมีคนมาประมาณ 30-40 คนน่าจะเป็นคณะทัวร์เช่นกันอมายืนรอและกำลังยืนสวดมนต์อยู่ (น่าจะเป็นภาษาจีนนะ)   เมื่อลงจากรถบัสก็จะมีเด็กๆมาเร่ขายดอกไม้ ข้าวโพดต้ม กับข้าวและข้าว เราเลือกซื้อข้าวโพดและส้มแทน (ที่นี่พม่าแปลกข้าวสวยและกับข้าว เขาใส่ถุงกอบแกบเล็กๆ ใส่ตรงเลย ดูไม่น่ากิน จะขายเราชุดละ 1000 จ๊ด อันนี้กำไรเกินร้อยแล้ว เมื่อเทียบกับคุณภาพและปริมาณ) (มารู้เอาภายหลังว่าสิ่งของที่คนไทยนำมาถวายพระในวันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นข้าวของเครื่องใช้เพื่อการศึกษาเช่นสมุด ปากกา ดินสอ อาหารแห้ง บางคนก็ถวายเงินตามศรัทธา บางคนถวายเงินเป็นค่าข้าวสารจำนวน1 กระสอบ) อันนี้เราไม่รู้มาก่อน ก็แอบเสียใจลึกๆ ไม่ยังงั้นจะขนมาเพียบ นี่ก็เป็นอะไรที่เราติดลบ 2 ให้ไกด์อ้อย ดูเธอไม่ค่อยสนใจเรื่องการทำบุญนัก
 
เมื่อพระเดินออกมา แถวยาวมาก คำนวณด้วยตาที่ท่านเดินผ่านวันนั้นว่าประมาณไม่ต่ำกว่า 500 รูป เณรมากจริงๆ เราเอาช็อคโกเล็ตที่ติดตัวไปใส่บาตร และเอาเงินไทยที่เตรียมไปใส่ในบาตรแทน ตอนนั้นยังไม่ได้แลกเงินพ่ม่า แต่คนขายของที่นั่นเจอทัวร์ไทยมามากมายแล้วรู้จัดเงินไทยเป็นอย่างดี และพอใจเงินไทยมากด้วย เราไม่ได้เข้าไปตรงที่พระนั่งฉันเพราะไกด์เขาเร่งรีบเนื่องจากปลายทางยังอีกไกล..


ระหว่างยืนรอก็ได้ถ่ายภาพที่เห็นระหว่างทางเดิน มองไปบนแนวทางเดินเห็นป้ายอักษรพม่าติดบนเพดานเป็นระยะ คาดเดาว่าเป็นคำสอน พุทธวจนะ หรืออะไรประมาณนั้น ถามไกด์อ้อยว่าเขียนว่าอะไร เธอแค่บอกว่าเป็นคำสอน ไม่พูดอธิบายหรือบอกอะไรที่เป็นประโยชน์มากว่านั้น ก็พอดูออกอีกเรื่องว่าเธอไม่ค่อยสนใจเรื่องเหล่านี้

 
 
 
 รูปบนนี้จาก internet เพราะเราไม่ได้เข้ามาตรงที่ท่านนั่ง
 
เห็นรูปปั้นคงเป็นที่ระลึกถึงใครสักคนที่มีคุณ เสียดายที่อ่านไม่ออก มองรอบๆไม่มีใครที่เห็นว่าจะถามได้ เฮ้อ!!
 
 
ที่เราสนใจคือไห หรือตุ่มเล็กๆ 2 ใบที่วางอยู่ ก็เดาว่าคงเป็นที่ใส่น้ำ แปลกใจเชิงบวกบ้างแต่เก็บไว้ในใจ เรื่องตุ่มไหนี้มีเขียนต่อ....

 
 
 
 ป้ายนี้เดาว่าจารึกเรื่องวัด??
 
 
เดินทางกลับเข้ามาในเมืองอีกครั้งเพื่อทานอาหารเที่ยง ทริปนี้มีพระไปด้วยดังนั้นมื้อเที่ยงจึงตรงเวลา ไม่ทันหิวมากก็ได้กินแล้ว การนั่งเขาจัดให้พระ 1 โต๊ะ ชี 2 คน 1 โต๊ะ เราไม่รู้ว่าอาหารเขาจะจัดสรรยังไง แต่ที่แน่นอนคือวันที่สองของการเดินทางเขาให้ฆราวาสไปนั่งโต๊ะชีด้วย ก็เลยยังสามโต๊ะเหมือนเดิม แต่จำนวนคนที่นั่งก็กระจายออกไป เขาบอกว่าไม่งั้นอาหารโต๊ะของแม่ชีจะเหลือ และอาหารได้ไม่ครบทุกอย่าง ก็โอเคนะ เป็นการจัดการที่ดี (บวก +1)

 รถทัวร์มาจอดที่ร้านอาหาร เห็นแล้วรู้สึกแปลกๆ พอลงจากรถ มีภาพที่เห็นรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่ทันตั้งตัว และไม่คิดว่าจะเห็นที่นี่ในครั้งแรกที่เดินเข้าร้านอาหาร ยังติดตาจนตอนนี้ที่เขียน..เดินขึ้นไปชั้นบนทางเดินแคบๆ ชันด้วย และก็เจอโต๊ะอาหารตัวใหญ่ มีคนนั่งกินอยู่หลายโต๊ะ มีโต๊ะที่ชั้นล่างด้วย เราคิดว่าเพราะมีพระท่าน เราเลยได้โต๊ะชั้นบนเพราะหากเราได้ชั้นล่างเราคงกินไม่ค่อยลง

 
 ร้านอาหารมื้อแรก
อาหารก็อร่อยแบบร้านอาหารระดับดีๆ แต่ก็มีเนื้อมากกว่าผักจึงลำบากหน่อยสำหรับมื้อแรกของ link เขาก็เขี่ยเลือกเอาผักที่มี (คงมีคนบอกเล้ง เพราะมื้อต่อไปเธอมาบอกที่โต๊ะว่าจะเพิ่มผัดผักให้) อาหารที่นี่ทุกมื้อจะโชว์กุ้งให้เด่น กุ้งเขาคงราคาถูกกว่าไทย ก็มีปลา หมู ไก่ ครบ ไม่เจอปู หอย ส่วนปลาหมึกเคยเจอครั้งเดียว

ตามคาดอาหารมื้อแรกเหลือหลายอย่าง พวกหมู ไก่ เหลือเกือบทั้งจาน เรานั่งมองแล้วรู้สึกเสียดายหากต้องเททิ้ง เพราะเห็นเขาเก็บกวาดโต๊ะข้างๆอย่างรวดเร็ว ภาพที่เห็นข้างล่างก็กลับเข้ามาในความคิด เราเลยตัดสินใจมองซ้ายขวา บอกกับตัวเองว่าหากมีความปรารถนาดีก็ทำไม่ต้องอาย คนนอกช่างเขา คนที่มาด้วยกันเขาเห็นจะเข้าใจเอง อย่าให้ความรู้สึกคิดแทนทำให้เราไม่ทำ และอีกอย่างที่เราจะคิดเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนตัดสินใจคือการทำกับการไม่ทำอันไหนมีทุกข์กว่ากัน งานนี้ไม่ทำแล้วทุกข์ เลยตัดสินใจ หันไปหยิบแก้วกระดาษที่เขามีไว้ใส่กาแฟ หยิบหมู ไก่ ฯ อาหารที่เหลือใส่ในแก้ว มีคนร่วมโต๊ะที่เพิ่งร่วมโต๊ะกันเขาก็มองนะ มีคนเอ่ยถามออกมาเราก็บอกว่าเอาไปให้ที่ยืนรอข้างล่าง เขาเข้าใจและช่วยไปเอาที่โต๊ะแม่ชีมารวมด้วย บางคนยังใช้สายตามองอยู่..ไม่เป็นไร บทเรียนวันแรก “ทำให้เห็น อะไรที่ดีก็ทำไป”
หน้าร้านอาหารจะเจอเด็กผูหญิง ชาย ที่เห็นประมาณ 5-6 คู่
 อุ้มเด็กเล็กๆมาขอเงิน หรือ??

เมื่อเดินลงข้างล่างก็เป็นไปตามคาด เราหิ้วหอบของลงไปก่อนที่จะลงถึงขั้นกระไดสุดท้ายก็มีมือยื่นมาขอ หลายมือมากพร้อมเสียงที่ฟังไม่รู้เรื่อง ให้แล้วเราต้องรีบขึ้นรถเพราะของที่เอาลงมาไม่ได้มีพอสำหรับทุกคน

เขาก็มีมายืนรอขอที่ข้างรถ เราก็เข้าใจนะ ชีวิตที่ต้องดิ้นรน บางคนอาจคิดว่าไม่สมควรให้เพราะจะทำให้เขาเสียนิสัย เหมือนที่เราห้ามไม่ให้อาหารลิงหรือสัตว์บางชนิดเพราะมันจะเสียพฤติกรรมที่ไม่หาอาหารเอง และจะคอยกินอาหารจากคนที่ไป หรือหากไม่ให้ก็แย่งชิง อันนี้ก็ต้องทำใจนะ  ต้องมาอภิปรายกันอีกยาว เอาเพียงว่าหากเรามีอาหารดีๆเหลือจะทิ้งในเวลานั้น และเห็นคนเขาหิวไม่มีเงินซื้อ ดูเข้าไปในดวงตาเขา ความสุขเล็กๆของเขามาจากสิ่งที่เราหยิบยื่นให้ อย่างน้อยถ้าไม่คิดมากก็ต่อชีวิตที่มีหวัง..