วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

สำนักสงฆ์ถ้ำบ่อน้ำทิพย์

บริเวณหน้าวัดด้านใน
 
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา meepole ต้องไปรับผู้ใหญ่ที่มาจากเกาะพะงัน เลยพาแวะตามเส้นทางเรื่อยๆ ก่อนจะข้ามจังหวัดไป แห่งหนึ่งที่ผ่านคือ สำนักสงฆ์ถ้ำบ่อน้ำทิพย์ เคยแวะมาครั้งหนึ่งสองสามปี ตอนที่กำลังจะบูรณะใหม่ เพราะเจ้าอาวาสเดิมมรณะภาพและร้างอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนที่ไปมีพระเพิ่งไปอยู่และท่านพยายามบูรณะด้วยปัจจัยส่วนของท่าน ตอนที่ไปก็ไม่มีอะไรมากนอกจากเรือนเก่าๆ และถ้ำ เจอลิงมากมายที่ลงจากเขามาหาของกิน เขาลงมาช่วงเช้า ไปครั้งนีัวัดปรับปรุงขึ้นมาก ท่านก็ทำได้เร็วดี มีพระพุทธรูปตั้งเรียงราย ทำให้ดูไม่วังเวง ส่วนถ้ำท่านก็ปรับปรุง มีพระพุทธรูปประดิษฐาน ภายใน ท่านตั้งใจจะให้เป็นอุโบสถในถ้ำ ส่วนกุฎิสงฆ์ก็ทำเป็นเรือนเล็กๆ กำลังทำ

ในวัดยังไม่มีพระอื่นๆมาอยู่ ท่านบอก ว่าไม่มีกิจนิมนต์ก็เลยไม่มีใครมาอยู่ แต่ท่านก็ยังบูรณะและสร้างเพิ่มเติมไปเรื่อยๆ ตามกำลัง อีกไม่กี่วันก็จะมีการทอดผ้าป่า และนำพระพุทธบาทจำลองมาประดิษฐานเพิ่มในถ้ำอันนี้ meepole เลยร่วมทำบุญไปล่วงหน้าก่อน

 
 
 
 
ปากทางเข้าถ้ำ
 
เข้าไปก็จะเห็นภาพนี้เป็นภาพแรก
 
 
ส่วนประดิษฐานสามหลวงพ่อ
 

ดอกว่าน ในวัดสวยดี หอมเย็น
 
 
ตอนนี้ในถ้ำก็บูรณะไปเยอะ ถ้ำนี้สวยมากและเป็นธรรมชาติ ยังชื้นเป็นธรรมดา กว้างใหญ่เป็นหลืบๆ และมีห้องมากมาย  และมีกลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆลอยมาเพราะมีขี้ค้างคาว ที่อาศัยในถ้ำพอควร ปีนขึ้นไปบนสุดจะเจอปากปล่องที่ต้องก้มมองลงไปจะมีคล้ายๆแอ่งหรือบ่อที่มีน้ำอยู่ภายใน น้ำนี้เชื่อกันว่า...........ก็บอกต่อๆกันมา ชาวบ้านสมัยก่อนและที่รู้ข่าวก็แวะมาบ้าง แต่ต้องใช้ความศรัทธาบวกกับวิริยะ ตั้งใจจริงๆที่จะปีนไต่ขึ้นไป ครั้งแรกที่มานั้น meepole เคยปีนขึ้นไปจนถึง แต่ครั้งนี้แก่แล้วไม่ปีนต่อ แค่แวะดูการพัฒนาของสถานที่ (หากมีเวลาหาภาพเก่าเจอค่อยเอามาลงรูปเพิ่ม จะเห็นว่าหินงอกหินย้อยในถ้านี้สวยงามจริงๆ)

วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2556

เงินซื้อความสุขได้ แต่.....


 

เราคงเคยได้ยินที่ใครๆพูดว่า เงินซื้อความสุขไม่ได้ เงินซื้อความสุขไม่ได้ เงินเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เรามีชีวิตรอดในโลก แต่ก็ไม่ได้การันตีความสุข

 มีคำพูดอีกมากมายที่ยกตัวอย่างสิ่งที่เงินซื้อได้ และซื้อไม่ได้เช่น

เงิน ซื้อบ้านได้ แต่ซื้อความอบอุ่นไม่ได้
เงิน ซื้อเตียงได้ แต่ซื้อการนอนหลับไม่ได้
เงิน ซื้อยาได้ แต่ซื้อสุขภาพไม่ได้
เงิน ซื้อหนังสือได้ แต่ซื้อความรู้ไม่ได้
เงิน ซื้อตำแหน่งได้ แต่ซื้อความนับถือไม่ได้
เงิน ซื้อความประจบสอพลอได้ แต่ซื้อความจริงใจไม่ได้...และอื่นๆอีกมากมาย

ลองอ่านเรื่องของ meepole แล้วอาจมีความคิดเห็นด้วยกับ meepole  ว่าเงินซื้อความสุขได้ แต่......

เมื่อหลายวันก่อนมีเหตุการณ์ที่ทำให้ meepole ได้คำพูด ข้อคิดใหม่ไปสอนเด็ก...

ประมาณทุ่มเศษกำลังขับรถกลับบ้าน ระหว่างทางก็แวะร้านขายยาซื้อน้ำเกลือให้หมาที่บ้าน  รถไปจอดเทียบข้างฟุตบาท จอดตรงหน้ารถเข็น ไฟหน้ารถสาดส่องไปที่ใบหน้าของหญิงวัยค่อนข้างชรา กะประมาณจากสายตาน่าจะ 60 up อาจไกล้ 70 ประมาณนั้น เธอหันหน้ามามอง  meepole มองเห็นใบหน้าเธอ และควงตาที่เหมือนเธอจะคิดว่า มาจอดทำไมตรงนี้  และเมื่อลงจากรถ meepole ก็มองเห็นเธอผู้นั่งบนฟุตบาทถนน พร้อมรถเข็นเก่าๆที่มีกล้วยหลากหลายชนิดวางอยู่ เป็นระเบียบ แต่meepole ไม่ได้คิดจะซื้อกล้วย และไม่รู้จะซื้อไปไหน มองเห็นตาเธอตอนนี้เหมือนกับว่าเธอไม่แน่ใจว่า meepole จะเดินลงมาเพื่อจะซื้อกล้วยของเธอไหม นัยน์ตามีความคาดหวัง meepole มองเธอแล้วอมยิ้ม และเดินเลี้ยวในทิศตรงข้ามเพื่อเดินเข้าร้านขายยา สักครู่เดินกลับออกมา มองเห็นร้านรองเท้าที่วางแผงออกมาเป็นรองเท้าแตะ นึกได้ว่ารองเท้าแตะทุกคู่ถูกเจ้าตัวซน 2 ตัวที่ปากคันกัดหมดแล้ว ก็เลยซื้อเพิ่มแล้วเดินขึ้นรถ กำลังก้าวขึ้นรถยายก็มองมาอีก แล้วหันกลับ meepole ก้าวขึ้นรถ สามีสตารท์รถ ไฟสาดส่องไปที่ใบหน้าของเธอ meepole เห็นใบหน้าของความเหนื่อยล้า ที่มองเหม่อออกไป รู้สึกอะไรบางอย่าง เลยบอกสามีว่าอย่าเพิ่งออกรถ ขอไปซื้อกล้วยก่อน เขาก็แปลกใจเพราะปกติ meepole จะไม่ซื้อกล้วยเลย เพราะหลังบ้านก็มีต้นกล้วยออกผลมา 90 % ให้กะรอกกินมากกว่าที่คนจะกิน บางครั้งหากเครือสวยก็เอาไปถวายพระ ให้เพื่อนบ้านบ้าง แต่ครั้งนี้จะลงไปซื้อกล้วย เขาจึงถามว่าซื้อกล้วยไปทำอะไร meepole ไม่ได้ตอบแต่ลงไป อีกครั้ง ยายมองมา meepole ถามว่ามีกล้วยหักมุกไหม เพราะเป็นชนิดเดียวที่ชอบกิน ยายตอบไม่มี meepole ไม่ได้สังเกตในน้ำเสียงนั้น เพราะมัวสนใจมองว่าจะซื้ออะไรบนรถเข็นนั้นได้บ้าง เดินอ้อมมาด้านหน้าก็เลือกเอากล้วยเล็บมือนาง ที่วางไกล้มือยายหยิบง่าย หวีไม่ค่อยสวย แต่ไม่คิดว่าจะเอาไปกินเอง คิดในใจว่าซื้อไปเลี้ยงนกและกะรอกที่มาทุกวัน.......ถามยายว่า “กี่บาทจ๊ะยาย” เมื่อยายตอบ meepole ได้ยินเสียงยาย รู้สึกทันทีว่ายายคล้ายคนเป็นใบ้ที่พอออกเสียงพูดได้ หรือไม่ก็ลิ้นแข็งมาก meepole พยายามฟังและทำหน้ายิ้มเป็นปกติ ตั้งคำถามใหม่ว่า “กล้วยเหล่านี้เอามาจากไหน” ยายคงฟังไม่ชัด เลยหัวเราะตอบเราว่า “เอาบ่มใส่ตุ่มไว้ให้สุก” meepole หยิบเงินให้ยาย ยายยิ้มหวานแล้วบอกด้วยเสียงสั่นอ้อแอ้ว่า  “ขอบใจนะ” รอยยิ้มดีใจของยายที่ขายได้นั้น ทำให้ meepole มีความสุขนัก เดินมาขึ้นรถมองไปที่ยายที่ขยับจัดกล้วยใหม่  ความรู้สึกในดวงตาละใบหน้าของยายเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ meepole บอกสามีว่า meepole เห็นดวงตาที่รอคนมาซื้อ และใบหน้าที่เหนื่อยล้า meepole คงปล่อยให้ใบหน้านั้นติดตา ติดความรู้สึกกลับบ้านไปไม่ได้ อย่างน้อยให้เธอได้ขาย และเธอมีความสุขกับการได้ขายสินค้า หากว่าคืนนี้เธออาจจะขายไม่ได้เลยเพราะค่ำแล้ว เธอก็ยังขายได้ตั้ง 1 หวี และเงินน้อยนิดนั้นคงทำให้เธอมีความหวังกำลังใจที่จะขายในวันต่อๆไป... สิ่งที่เรารู้สึกทันทีเมื่อยายยิ้มและกล่าวขอบใจนะ (อาจขอบใจที่ซื้อของ และขอบใจที่ไม่ต่อราคา) คือ ความสุข...meepole บอกสามีในรถว่า นี่คือความสุขที่ซื้อได้ ชื้อสุขให้ผู้อื่นมีความสุข ซื้อเพื่อสร้างกำลังใจให้เขาสู้ชีวิตต่อไป
นี่คือสิ่งที่พวกเราทุกคนทำได้ไม่ลำบากเลย ดังนั้นหากวันใดที่ท่านเห็นคนสูงอายุขายอะไร ก็ช่วยกันอุดหนุน ซื้อไปเถอะ ให้เขามีความสุขที่ขายได้ มีความหวัง และใครจะรู้ได้ว่า วันนั้นเงินที่ขายได้อาจมีเพียงธนบัตรใบนั้นของเราที่ช่วยให้เขากลับบ้านอย่างมีความสุข หรือมีเงินสำหรับสิ่งจำเป็นอะไรสักอย่าง อย่าเดินผ่านใบหน้าที่เหนื่อยล้า ดวงตาที่มีความคาดหวังนั้นไปเลยนะคะ แล้วเราจะรู้สึกสุขใจมากกว่าของที่เราได้มาเสียอีกค่ะ

เงินซื้อความสุขได้ แต่....ใช้ซื้อความสุข สร้างความหวัง และกำลังใจให้ผู้อื่น  สิ่งที่เราได้กลับก็คือ ปิติสุขที่ยิ่งกว่า

 

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

ให้แล้วไม่ต้องไปยึดติด



มีคำถามที่น้องอจ.ถาม meepole ว่า "อจ.คิดหรือรู้สึกยังไงคะ กับการที่เราให้ของใครแล้วเขาคนนั้นเอาสิ่งของนั้นให้คนอื่นต่อ"

คำถามนี้มีนัย..เรื่องนี้มีเบื้องหลังเพราะ meepole เพิ่งเอาปฏิทินตั้งโต๊ะของท่านพุทธทาสไปแจกน้องอาจารย์ในโปรแกรม แล้วคงจะมีน้องอจ.คนหนึ่ง..คนที่อยากจะไปเที่ยวจีน-ฮ่องกงตอนที่กฟผ.ให้ทุนไปดูงานโรงงานไฟฟ้าแล้ว meepole เป็นคนไปเพราะคิดว่าจะไปเอาความรู้มาทำประโยชน์กับการศึกษาและสังคม (และไม่เคยคิดเรื่องเที่ยวที่นั่น เพราะไม่ไช่ประเทศที่ meepole อยากไป) ส่วนน้องอจ.คนนี้เท่าที่ทราบคือเขาคิดว่า meepole ไปแย่งเขา อันนี้ meepole พอเข้าใจความรู้สึกเขา แต่ไม่อยากโต้แย้ง หรืออธิบายเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของการทำงานที่ต้องสำนึกหน้าที่เองและทำงานให้คุ้มกับเงินที่ไป ไม่ไช่การไปเที่ยว และหัวหน้าโปรแกรมให้ไป ไม่ได้ทำอะไรที่ข้ามขั้นหรืองุบงิบ เขาก็ไปว่า meepole ลับหลังเสียหายพอสมควร แต่บางประโยคก่อบาปกับตัวเขาเองมากไป และหากจะคิดมากขึ้นถึงกับเรียกได้ว่าเขาเป็นคนอกตัญญู.... เพราะมีหลายเรื่องที่ meepole เคยช่วยเขาไว้ ไม่ให้ถูกพิจารณา...หรือให้เขาใช้ชั่วโมงสอนร่วมโดยเขาไม่ต้องสอนเพราะ meepole ต้องการให้อจ.สิ่งแวดล้อมมี load การสอนมากถึงเกณฑ์ที่จะไม่ต้องเอาอจ.คนใดคนหนึ่งออก เพราะทุกคนเป็นอจ.สัญญาจ้าง ยกเว้น meepole ที่เป็นข้าราชการคนเดียว..(และเขามีโอกาสจะถูกเอาออกมากที่สุดในตอนนั้น ด้วยเรื่องของนศ.ด้วย)

เรื่องที่ได้ยินทุกคนรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นใด เพราะน้องสาวเขาเองแท้ๆยังพูดว่าเขาเป็นคนที่ในครอบครัวไม่มีใครเอาด้วยแล้วเพราะเอาใจตัวเองมากไป ความคิดแคบ และ... แต่ในโปรแกรม  meepole บอกทุกคนเสมอว่าให้อยู่แบบพี่น้อง อภัยได้ก็ทำ เข้าใจพื้นฐานเขาก็ให้อภัยกัน..อจ.คนนี้ตอน meepole สัมภาษณ์รับเขามามีคนเตือนแล้ว แต่ meepole คิดว่าคนเราขัดเกลากันได้ และที่สำคัญเขาอ้างการจะมาสอนที่นี่ด้วยต้องการดูแลบุพการี meepole จึงส่งเสริม ส่วนแท้จริงเขาทำหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเขา เพราะ meepole ให้โอกาสเขากตัญญู แต่เขาไม่ได้ทำก็อกุศลกรรมของเขา ...

เช่นกันเรื่องการไปดูงานนี้เขาเก็บเอาไปคิดปั้นจนเป็นปมในใจเขา ว่า meepole ไปแย่งโอกาสการไปเที่ยวตปท. เราทั้งสองมีจุดยืนของการไปที่ต่างกันมาก จน meepole ไม่คิดว่าเมื่ออธิบายเขาจะเข้าใจถึงคำว่า"เงินแผ่นดิน" ต้องลงสู่สังคมไม่ไช่ส่วนตัว แต่ meepole ก็ยังคงปฎิบัติกับเขาแบบคนอื่นๆต่อ แต่ตัวเขาเก็บไฟในใจ เมื่อ meepole ให้ของฝากหรือของขวัญเขาก็รับแต่อาจเอาไปให้คนอื่น..ซึ่งน้องๆในโปรแกรมคงทราบและเห็นหลายครั้งจึงแปลกใจและนำมาถามว่า meepole รู้สึกยังไง และรู้แล้วยังคงให้อีก??

คำตอบของ meepole คือ "ไม่เป็นไร ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะสิ่งของเมื่อเราให้เขาไปแล้วย่อมเป็นสิทธิของผู้รับ จะเอาไปทิ้ง ไปยกให้ใคร หรือวางไว้ตรงนั้นตลอดไปเขาก็ย่อมทำได้ เพราะเมื่อของออกจากมือเราแล้วก็เป็นของของผู้รับเราไม่ต้องไปยึดติดกับของ......ส่วนด้านอารมณ์ยิ่งไม่ต้องไปข้องเกี่ยวเพราะจิตขณะให้เป็นสำคัญ เราให้ด้วยความปรารถนาดี ด้วยเมตตา กรุณา ก็จบ ดีเกิดขึ้นดับเราแล้ว คนรับจะรับด้วยความรู้สึกอะไรเป็นเรื่องเขา ใจเราสำคัญที่สุด และเมื่อเขายอมรับไปแล้วเขาจะรู้สึกไม่ดีเขาก็เป็นทุกข์ เป็นอกุศลจิตของเขาเอง เราไม่ต้องไปรับรู้และที่สำคัญคือเราไม่มีทางจะไปรู้ความคิดของเขาว่าเขาคิดอะไร เขาอาจคิดว่าของที่เราให้เขาดีมากจนเขาอยากแบ่งปันให้คนดีๆคนอื่นได้มี หรือ.. ??" ครั้งต่อไป meepole ก็คงให้อีก จนกว่าวันหนึ่งเขาจะบอกว่า.."อจ.คะ ต่อไปนี้อจ.ไม่ต้องให้ของอะไรหนูอีกนะคะ " ก็จะหยุดให้ หุหุ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าเขาจะรับหรือไม่ แต่ meepole ก็ให้ได้คือ ให้อภัย แล้วก็จบ :)

เคยอ่านข้อเขียนนี้ของใครคนหนึ่ง meepole เก็บไว้เอามาลงในนี้ให้อ่านกันข้างล่าง


ความผิดบางสิ่ง

ถามว่าใครผิด .. ก็ไม่มีใครผิด

ต่างคนต่างมีเหตุผล แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหนักหนา จนทำให้ต้องมองหน้ากันไม่ได้


แล้วยังไงต่อดี ???
ทางออกที่ดีอีกทางคือ
การให้อภัยตัวเองพร้อมๆ กับให้อภัยเพื่อนของเรา

ที่ว่าให้อภัยตัวเองก็คือ ให้อภัยที่มองเพื่อนในมุมมองของเราเพียงข้างเดียว

และให้อภัยเพื่อนที่ไม่ได้มองเห็นไปในทางเดียวกับเรา

เพราะที่สุดแล้ว

เราก็ต้องยอมรับในความเป็นตัวตนของแต่ละบุคคล


วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

ปีแห่งเมตตา



 
เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2555 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน ส.ค.ส. ปีพุทธศักราช 2556 แก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวารดิถีขึ้นปีใหม่มีความว่า

"ความเมตตาเป็นคุณธรรมนำความสุข
ช่วยปลอบปลุกปรุงใจให้หรรษา
ความกตัญญูรู้คุณผู้เมตตา
ทวีค่าของน้ำใจไมตรีเอย"

เรื่องของความเมตตาเป็นหลักธรรมข้อหนึ่งในพรหมวิหาร 4 เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐ บริสุทธิ์ และเป็นสุข ปีนี้พระองค์ท่านได้ให้พรและบทเตือนใจ ที่เน้น "เมตตา" ซึ่งเหมาะสำหรับสังคมปัจจุบันที่มี ความคิดแตกต่าง มีความต่างของคุณธรรมหลากหลาย จนคนดีต้องเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อยืนหยัดสู้กับความไม่ถูกต้องได้อย่างไม่ทุกข์

เมตตา คือความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข

ความสุขก็ย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ความสุขเกิดขึ้นได้ทั้งกายและใจ เช่น ความสุขเกิดการมีทรัพย์ ความสุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์เพื่อการบริโภค ความสุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้ และความสุขเกิดจากการทำงานที่ปราศจากโทษ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างต้องพอประมาณ บางอย่างก็ต้องไม่ไปติดยึดจนกลายเป็น ..สุขไม่เป็น กลับก่อทวีทุกข์มากกว่าเดิม

 
เมตตามีคู่ปรับสำคัญอย่างหนึ่ง คือ ความโกรธ ซึ่งความโกรธจะเป็นอุปสรรคที่คอยขัดขวางไม่ให้เมตตาเกิดขึ้น คนบางคนเป็นผู้มักโกรธ พอโกรธขึ้นมาแล้วก็ต้องทำอะไรรุนแรงออกไป ทำให้เกิดความเสียหาย ถ้าทำอะไรเขาไม่ได้เราก็มักจะหงุดหงิด งุ่นง่านทรมานใจตัวเอง ในเวลานั้นเมตตาหลบหายไป ไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ไม่ยอมปรากฏให้เห็น ดังนั้นก็จะต้องเรียกสติมาเป็นตัวคุม เหมือนที่ว่า สติมา ปัญญาเกิด สติเตลิด อะไรๆดีๆก็หายไปหมด  อันนี้คงต้องหมั่นฝึกฝนฝึกจิตตัวเองให้มีช่วงเวลานิ่ง  สงบ ทบทวนตัวเองก็จะตามตัวเองทัน เหมือนเราที่แต่ละวันต้องส่องกระจกดูหน้าตาว่าเรียบร้อยหรือไม่ ก็ได้แต่เห็นของภายนอก ส่วนใจภายในนั้นมองไม่เห็นจากกระจก แต่เรารู้ตัวดี การส่องใจ  ต้องมาจากจิตที่คุมดีแล้วให้สงบนิ่ง หมั่นทบทวนตัวเองบ่อยๆก็จะตามทัน เวลามีเรื่องมากระทบ สติก็จะมากำกับทันที และไม่เร่าร้อน  เกิดความเข้าใจในสิ่งที่กระทบ ให้อภัย วางไว้ เมตตาก็จะเกิดโดยทันที เราก็ไม่ทุกข์ (อีกฝ่ายทุกข์เอง หุหุ)

ดังนั้นเราควรทำดีทุกครั้งที่มีโอกาส แม้จะเหนื่อย หรือยากลำบาก แม้จะมีคนที่ไม่เข้าใจ คิดว่าเราโง่บ้าง ขี้แพ้ไม่สู้บ้าง ก็อย่าไปหวั่นไหว......ใจเรารู้ และสุขเย็นเป็นพอ........ปีใหม่นี้ meepole เลยตั้งใจจะฝึกจิตให้มีเมตตามากขึ้น เพราะเวลาเห็นพวกมิจฉาจารย์ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม คอรัปชั่นเชิงนโยบายหลายอย่าง สร้างภาพลวงให้พวกกรรมการที่มาประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัยโดยตรวจตามเอกสารของมหาวิทยาลัยที่ตกแต่งสวยงาม คุณภาพจริงไม่ต้องพูดถึง ........เมตตาจะหาย สติตามไม่ทันปาก ปากจะเง็บๆ ถ้ามีคนมาถาม แต่ถ้ารู้เห็นเองใจจะเง็บๆ..สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมจริงๆ
จงเป็นสุข..เป็นสุข....เถิด
 

อ้างอิง: พระธรรมปิฏก (ประยุทธ์ ปยุตโต  “ทำอย่างไรจะหายโกรธ

 

วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

ขอบคุณแฟนบล็อก

สวัสดีปีใหม่ 2556 ค่ะ  ขอให้ทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยือนอ่าน มิตรในความเงียบ รู้จักแม้ไม่เคยพบพานกันมาก่อน มีบางท่านที่ meepole ดูสถานที่ที่เข้ามาจนเหมือนว่ารู้จักกัน วันไหนไม่เห็นก็เป็นห่วง เห็นก็ดีใจ เพื่อนผู้ไกลบ้าน และบ้านไกลที่แวะเข้ามา จากหลายๆประเทศ ที่รู้จักอย่างเงียบๆช่วงหลังก็คือเพื่อนนักอ่านจาก Taoyuan CN นี่ทุกวัน, Zaventem, BE และเพื่อนเก่าจาก Mountain View, CA, USA...อีกหลายประเทศ  และมีที่อื่นๆที่เข้ามาทุกสัปดาห์ทั้งในไทยและต่างประเทศ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกำลังใจในการเขียน ขอบคุณจริงๆที่ท่านเป็นพลังขับเคลื่อนให้ meepole ไม่ขี้เกียจเขียน บางครั้งยุ่งมากจนสมองตัน ก็พยายามอย่างน้อยบันทึก meepole's note ต้องเขียน เพราะคิดถึงคนอ่าน หุหุ

 ปีใหม่นี้จะพยายามทำตัวให้ดีขึ้นจะมาเขียนในบล็อกนี้ให้บ่อยขึ้นกว่าที่เป็นอยู่...ขอบคุณอีกครั้งนะคะ และขอให้ทุกท่านมีความสุขกาย สบายจิต คิดสิ่งใดในสิ่งดีๆขอให้สมดังปรารถนา สุขภาพแข็งแรง ตลอดไปค่ะ