เมื่อวันที่ 31
ธันวาคม 2555 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน
ส.ค.ส. ปีพุทธศักราช 2556 แก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในโอกาสวารดิถีขึ้นปีใหม่มีความว่า
"ความเมตตาเป็นคุณธรรมนำความสุข
ช่วยปลอบปลุกปรุงใจให้หรรษา
ความกตัญญูรู้คุณผู้เมตตา
ทวีค่าของน้ำใจไมตรีเอย"
เรื่องของความเมตตาเป็นหลักธรรมข้อหนึ่งในพรหมวิหาร
4
เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐ บริสุทธิ์
และเป็นสุข ปีนี้พระองค์ท่านได้ให้พรและบทเตือนใจ ที่เน้น "เมตตา" ซึ่งเหมาะสำหรับสังคมปัจจุบันที่มี ความคิดแตกต่าง มีความต่างของคุณธรรมหลากหลาย จนคนดีต้องเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อยืนหยัดสู้กับความไม่ถูกต้องได้อย่างไม่ทุกข์
เมตตา คือความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข
ความสุขก็ย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา
ความสุขเกิดขึ้นได้ทั้งกายและใจ เช่น ความสุขเกิดการมีทรัพย์
ความสุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์เพื่อการบริโภค ความสุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้ และความสุขเกิดจากการทำงานที่ปราศจากโทษ
เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างต้องพอประมาณ บางอย่างก็ต้องไม่ไปติดยึดจนกลายเป็น
..สุขไม่เป็น กลับก่อทวีทุกข์มากกว่าเดิม
เมตตามีคู่ปรับสำคัญอย่างหนึ่ง
คือ ความโกรธ ซึ่งความโกรธจะเป็นอุปสรรคที่คอยขัดขวางไม่ให้เมตตาเกิดขึ้น คนบางคนเป็นผู้มักโกรธ พอโกรธขึ้นมาแล้วก็ต้องทำอะไรรุนแรงออกไป
ทำให้เกิดความเสียหาย ถ้าทำอะไรเขาไม่ได้เราก็มักจะหงุดหงิด งุ่นง่านทรมานใจตัวเอง
ในเวลานั้นเมตตาหลบหายไป ไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ไม่ยอมปรากฏให้เห็น ดังนั้นก็จะต้องเรียกสติมาเป็นตัวคุม
เหมือนที่ว่า สติมา ปัญญาเกิด สติเตลิด อะไรๆดีๆก็หายไปหมด อันนี้คงต้องหมั่นฝึกฝนฝึกจิตตัวเองให้มีช่วงเวลานิ่ง สงบ ทบทวนตัวเองก็จะตามตัวเองทัน เหมือนเราที่แต่ละวันต้องส่องกระจกดูหน้าตาว่าเรียบร้อยหรือไม่
ก็ได้แต่เห็นของภายนอก ส่วนใจภายในนั้นมองไม่เห็นจากกระจก แต่เรารู้ตัวดี การส่องใจ ต้องมาจากจิตที่คุมดีแล้วให้สงบนิ่ง
หมั่นทบทวนตัวเองบ่อยๆก็จะตามทัน เวลามีเรื่องมากระทบ สติก็จะมากำกับทันที และไม่เร่าร้อน
เกิดความเข้าใจในสิ่งที่กระทบ ให้อภัย
วางไว้ เมตตาก็จะเกิดโดยทันที เราก็ไม่ทุกข์ (อีกฝ่ายทุกข์เอง หุหุ)

จงเป็นสุข..เป็นสุข....เถิด
อ้างอิง: พระธรรมปิฏก (ประยุทธ์ ปยุตโต “ทำอย่างไรจะหายโกรธ”