วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การสาปแช่ง


จากข่าวที่อ่าน
โผล่อีก ! ป้ายผ้าปริศนาแช่งคนขวางจ่ายเงินจำนำข้าว โผล่บนสะพานลอย บริเวณถนนแจ้งวัฒนะ เบื้องต้นยังไม่ทราบเป็นการกระทำของกลุ่มใด

วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
มีผู้พบเห็นป้ายผ้าปริศนาบนสะพานลอยแห่งหนึ่ง บริเวณถนนแจ้งวัฒนะ โดยป้ายผ้าดังกล่าวมีข้อความว่า "ใครขวางจ่ายเงินชาวนา ? ขอให้มันวิบัติ 7 ชั่วโคตร!"

 
ที่มาภาพ และข่าว http://hilight.kapook.com/view/98164

ก่อนหน้านี้ก็มีการสัมภาษณ์ออกสื่อของนักการเมืองที่ชอบโกหกเป็นอาจิณ (จนเป็นสันดานแล้ว)มี การสบถแช่งออกจากปาก meepole กำลังฟังข่าวได้ยินด้วยความตกใจครั้งหนึ่ง เหตุที่ตกใจเพราะคนส่วนมากรู้ๆอยู่ว่าคนที่กำลังแช่งผู้อื่นเพราะอยากท้าทายนั้นเป็นคนใจสกปรก  มีการกระทำที่ผิดคุณธรรมมาตลอดทั้งยังส่งเสริมลูกให้ทำผิดอีกด้วย คนทำสิ่งชั่ว คิดชั่ว พูดชั่วเช่นนั้นจะแช่งคนอื่นได้อย่างไร คำแช่งทั้งหมดจะกลับเข้าสู่ตัวเขาเองในที่สุด...น่าสงสารจริงๆ  มาเมื่อสองวันเห็นข่าวข้างต้นอีก ก็เลยทำให้ meepole นึกถึงคู่ภรรยา สามี (มีอาชีพที่ชอบรีดไถเลี้ยงชีวิต) ที่เบียดเบียนครอบครัว meepole และเพื่อนที่รู้จักอีกราย  แต่พวกเราไม่มีใครเดือดร้อนมากมายเพราะกรรมใดใครก่อผู้นั้นทุกข์เอง พวกเราไม่ได้ทำอะไรก็เลยไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ จึงได้แต่นั่งดูไปเรื่อยๆแบบอหิงสาเช่นกัน อยากทำอะไรก็ทำไป อยากไปจ้างจนท.สร้างหลักฐานเท็จสารพัดก็ทำไป ส่งเรื่องไปสารพัดเรื่องก็ให้ทำไป ก็มองด้วยความสงสารที่ดิ้นรนอยากได้ของคนอื่นจนตัวสั่น ไม่ละอาย เลี้ยงลูกด้วยเงินบาปที่รีดไถหลายครอบครัวมานานจนเป็นสันดานได้ใจ เมื่อทำอะไรไม่ได้สุดท้ายก็เขียนคำแช่งร่อนไปทั่ว เพื่อนที่ถูกเบียดเบียนเอามาให้อ่าน อ่านเสร็จก็ขำกลิ้ง แล้วพูดเกือบพร้อมกันว่าสงสัยมันไม่มีทางไปอยากได้มาก จนต้องแช่งคน จริงๆ ลึกๆ meepole กลัว แต่ไม่ได้กลัวคำแช่ง แต่กลัวว่าคำแช่งนั้นจะเข้าตัวผู้แช่งสามีภรรยาและลูกๆสองคนของเขาเองแน่นอน เพราะพวกเรารู้ว่างานนี้พวกเขาทำผิดมาตลอดแล้ว กรรมใครก่อก็รับไปเอง พวกเราก็รอดู รอเวลาเหมือนดูหนังภาค 1 2 3 เท่าที่รู้ก็น่าสงสารพวกเขาที่ต้องเหนื่อยไม่ได้หยุดก่อกรรมเลย ได้ทำอกุศลกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ลูกเขาคงต้องรับกรรมที่พ่อแม่ก่อนั้นยาวไปนาน..

จริงๆแล้วเรื่องการแช่งผุ้อื่นนั้นเป็นเรื่องต้องระวังมากทีเดียว การถูกแช่งไม่ใช่เป็นสิ่งต้องกลัวเกรง  เพราะการแช่งไม่ได้จะเกิดผลง่ายดังคำแช่งนั้น แต่มีหลายเหตุปัจจัยมาก อย่างน้อยเบื้องต้นให้แน่ใจก่อนเลยว่า คนดีๆ เขาไม่แช่งใครหรอก ส่วนมากการแช่งมักจะออกจากความคิด ปาก ของผู้มีโทสะ โมหะจริต มีจิตอาฆาตมุ่งร้าย ทั้งสิ้น  จึงทำให้ไม่ได้ผล มีการเปรียบเทียบว่า

.......”.คนที่แช่งเขาเหมือนคนที่หยิบคบเพลิงเดินทวนลม เปลวไฟจากคบเพลิงนั้น แม้จะทำให้เกิดแสงสว่าง แต่ก็นำมาซึ่งความร้อนแก่ผู้ถือคบเพลิงอย่างน่าสงสาร ด่าแช่งเขาจึงไม่ต่างอะไรกับการจุดไฟเผาตัวเอง ขณะที่เผาคนอื่นก็มีค่าเท่ากับเผาตัวเองไปพร้อมๆ กัน”.....ในคัมภีร์ของคริสต์กล่าวว่า

คุณเคยแช่งสาปใครเอาไว้ แต่ในที่สุดคุณเองกลับเป็นคนที่ต้องประสบกับเรื่องที่คุณแช่งสาปคนอื่นเอาไว้หรือไม่ บาปย่อมนำไปสู่การถูกทำลาย โดยเฉพาะบาปปากและลิ้น พระคัมภีร์กล่าวว่า ลิ้นเป็นไฟ เป็นเหตุให้ทั้งกายเป็นมลทิน เผาไหม้ชีวิต ติดไฟนรก เต็มไปด้วยพิษร้ายถึงตาย(ยก. ๓:, ๘)

ทุกวันนี้เราคงเห็นคนมากมายที่อดีตอาจจะดูเหมือนรุ่งเรือง แต่เพราะความที่มีตำแหน่ง สามารถใช้ตำแหน่งข่มขู่ หลอกลวง ได้วางกับดักคนอื่นโดยการโกหก สร้างภาพให้คนหลงเชื่อ แล้วสาปแช่งเมื่อไม่สำเร็จดังใจ และปัจจุบันชีวิตของพวกเขาติดกับดักคำพูดตนเอง ชีวิตเป็นมลทิน ซึ่งจะนำไปสู่ความหมดตัวและหมดอนาคตในที่สุด

พระคัมภีร์จึงสอนให้เราไม่สาปแช่งผู้อื่น แม้คนเหล่านั้นจะพยายามข่มเหงรังแกคุณจงอวยพรแก่คนที่เคี่ยวเข็ญท่าน จงให้พร อย่าแช่งด่าเลย (รม. ๑๒:๑๔)

 ในทางพุทธศาสนาก็มีคำกล่าวสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน......อาฆาตวินยสูตรที่ ๑
[
๑๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นที่ระงับความอาฆาตซึ่งเกิดขึ้นแก่ภิกษุโดยประมาณทั้งปวง ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญเมตตาในบุคคลนั้น ๑
ความอาฆาตพึงบังเกิดในบุคคลใด พึงเจริญกรุณาในบุคคลนั้น ๑
ความอาฆาตพึงบังเกิดในบุคคลใด พึงเจริญอุเบกขาในบุคคลนั้น ๑
ความอาฆาตพึงบังเกิดในบุคคลใด พึงถึงการไม่นึกไม่ใฝ่ใจในบุคคลนั้น ๑
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงนึกถึงความเป็นผู้มีกรรมเป็นของ ๆ ตนให้มั่นในบุคคลนั้นว่า ท่าผู้นี้เป็นผู้มีกรรมเป็นของๆตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเป็นทายาท (ผู้รับผล) ของกรรมนั้น ดังนี้ ๑

ชาวพุทธควรละเว้นการสาปแช่ง เพราะว่าทันทีที่เราสาปแช่งเขา บาปกรรมก็ตกอยู่กับเราแล้วเพราะเป็นมโนกรรมและวจีกรรมที่เป็นอกุศล ความพยาบาทก็ดี การพูดจาสาปแช่งก็ดีเป็นบาปกรรมที่จะทำร้ายเราเอง ไม่ใช่ทำร้ายใครเลย พวกเราชาวพุทธจึงควรหลีกเลี่ยง

สาปแช่งของคนอื่น ไม่น่ากลัวเท่าการกระทำของเราเอง

ยิ่งตัวบุคคลที่กล่าวคำสาปแช่งนั้นนั่นแหละ ยิ่งน่าเห็นใจ

เพราะอกุศลจิตของเขาคงมีกำลังมากและเกิดดับสืบต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน

เมื่อถึงคราวที่อกุศลนั้นจะให้ผล เขาคงต้องได้รับผลนั้นมากตามไปด้วย

 สัจจะบารมีถึงขั้น อธิษฐานบารมีเพียงพอ

วาจาธรรมดาก็กลายเป็นวาจาสิทธิ์

ไม่ต้องใส่ใจ หากคนอื่นคิดไม่ดีกับเรา เราอโหสิ แผ่เมตตาให้ไป จะเป็นบุญเป็นกุศลเป็นบารมีกับเราเอง

เหมือนที่เราทำให้ “สุขเกษม” เป็นประจำ ขอให้เป็นสุข ๆ เถิด ขอให้รู้จักพอเพียง เถิด

 

วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ด้วยรักถึง..อิ้ชิง (Yiching)

ทุกคนนอกจากจะมีคน สิ่งของที่เรารักแล้ว บางคนอาจมีสัตว์เลี้ยง ซึ่งก็ไม่ทุกคนเพราะการมีสัตว์เลี้ยงใครๆก็มีได้ แต่การเลี้ยงสัตว์ให้ดีเป็นเรื่องทำได้ยาก หลายคนสักแต่ว่าจะมีไว้ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พอเบื่อก็ไม่ดูแล ไม่มีเวลาก็ยกให้คนใครๆ บางคนแอบเอามาทิ้งขว้างไว้ตามที่ต่างๆ ทำราวกับว่ามันไม่มีจิตใจ ไม่มีความรู้สึก....เป็นเรื่องน่าเศร้าจริงๆ

ที่เกริ่นมาข้างต้น เพราะวันนี้ตั้งใจจะเขียนบันทึกไว้เป็นที่ระลึกแห่งความทรงจำ และความรักที่มีให้กันถึง  Yiching (เราเรียกเธอว่า.. อี้ชิง)

Yiching อายุเท่าไร ไม่ทราบ เพราะเธอถูกเก็บมาจากกลางถนนในเมือง ตอนเช้า..ย้อนไปประมาณ 4 ปีที่แล้ว meepole ไปซื้อข้าวต้มปลาถวายพระที่ร้านกลางเมือง ระหว่างรอก็มองเห็นลูกหมามาเดินใต้โต๊ะที่วางริมถนน  รู้สึกแปลกใจเพราะหมาลักษณะนี้ไม่ควรเป็นหมาข้างถนน เลยถามเจ้าของร้านข้าวต้มที่รู้จักกันว่า หมาของใคร เธอบอกว่าไม่รู้ว่าเป็นของใคร แต่เห็นมาสองสามวันแล้วเดินไปเดินมาอยู่แถวนี้ อาจจะหลงมา หรือใครลืมไว้ หรือ...meepole รู้สึกเอ็นดู และสงสาร เพราะรู้ได้ว่าเธอเรียบร้อย เมื่อเรากำลังจะเดินออกจากร้านเราเห็นลูกหมาเดินข้ามถนนไปและหลบหมาใหญ่ที่ยืนจ้องอยู่ เรารู้สึกสงสารและคิดว่า มันน่าจะใช้ชีวิตลำบากเพราะต้องถูกหมาใหญ่กัดแน่และมันจะหาขยะอาหารกินเป็นได้ยังไง (คิดแทนหมา) แต่ที่บ้านมีหมา 4 ตัวแล้ว จะเอามาเป็นตัวที่ 5 ต้องขออนุญาตสามีก่อน ขึ้นรถก็คุยบอกความน่ารักของหมาให้ฟังกัน ตกลงตามนั้น และบอกว่าหากมีวาสนาต่อกันหากเราเลี้ยวรถกลับมาแล้วเจอเขาก็จะช่วยเขาเอาไปเลี้ยงก็แล้วกัน (เพราะต้องไปเลี้ยวกลับรถอีกถนนไกลพอควรทีเดียว) ..

ในที่สุดประมาณเกือบสิบนาทีก็ขับรถกลับมาที่ไกล้จุดเดิมแต่คนละถนน มองไม่เห็นเขาแล้ว แต่รถติดหลายคัน ก็ค่อยๆขยับไป จนไกล้ทางเข้าวัดเลยบอกว่าเลี้ยวเข้าทางนี้ พอเบี่ยงรถมาทางซ้ายจะเลี้ยวเข้าก็เห็นว่ารถขับชลิเพราะมีหมาวิ่งอยู่ตรงกลางถนน จำได้เลยว่าเป็นหมาตัวนั้น เลยรีบจอดรถข้างทาง บอกให้ link ช่วยลงไปจับเขากลัวถูกรถชน ปรากฎไม่ง่ายอย่างที่คิด เขาไม่ยอมให้จับ วิ่งเร็วขึ้น  link ก็วิ่งตาม เราเดินบนฟุตบาทรีบตามไปท่ามกลางคนสองข้างถนนที่หยุดดูและบางคนถามเราว่าหมาหลุดหรือ เขาเข้าใจว่าเป็นหมาของเราหนีมา กว่าจะจับได้ก็วิ่งไปอีกถนน หมาดูไม่เหนื่อยนักแต่คนจับดูเหนื่อยเอาการ หุหุ จับมาไว้ที่วัดฝากไว้ที่พระอาจารย์ก่อน พร้อมถ่ายรูป ทำประกาศติดแถวรอบๆตลาดที่เจอเขา เผื่อเจ้าของจะมารับ ให้เวลา 1 เดือน ตั้งชื่อเธอว่า yiching ครบเดือนไม่มีใครมาเอา meepole เลยเอาไปเลี้ยงที่บ้าน เป็นปี เขามีความสุขดี สนิทกับชาบู และโปเต้ มาก (ในรูป)กับลานา (พิทบูล) ก็สนิทกัน ไม่มีใครรังแกเขา....จนกระทั่งลานาตาย 2554 โปเต้ซึมเพราะเขาสนิทกัน เลยเอาแม่มดซันวามาเลี้ยง (หมาของวัดเขาเอามาปล่อย 4 ตัว) พระอาจารย์ก็เลี้ยงดูอย่างดี จากไม่มีขน จนขนสวยทุกตัว ซันวานิสัยแปลก(จนปัจจุบัน) มาจับได้ว่าแอบกัด yiching  จนเริ่มเห็นว่า yiching ไม่มีความสุขนัก ต้องคอยหลบซันวาที่ แยกเขี้ยวตลอดเวลา ขึ้หงุดหงิด หรืออะไรไม่เข้าใจนิสัยนัก จนกระทั่งวันหนึ่งได้ยินเสียง yiching ร้องลั่น เห็นซันวากัดแล้วเหวี่ยง yiching เลยตัดสินใจ เอา yiching กลับไปเลี้ยงที่กุฎิพระอาจารย์เหมือนเดิม  เพื่อให้เขามีความสุข เพราะหมาที่กุฎิพระอาจารย์เป็นแบบตัวเล็กที่คนทิ้งไว้แถวถนนเช่นกัน พวกเขาก็อยู่อย่างมีความสุข เพราะมีกินอย่างอร่อยไก่ทอด ตับต้ม ของกินเล่นของหมาที่เราจะเอาไปฝากเป็นระยะๆ
อยู่ที่นั่น yiching รองอาวุโส จากที่มีอยู่ 4 ตัว บางแก้วเป็นตัวอาวุโส 10 ขวบแล้ว เพราะอีก 2 ตัวที่เก็บมาภายหลังห่างตัวละปี สองปี ยังเด็กอยู่ล่าสุดก็เรโอ ....เราเองก็รู้ว่า yiching อยากกลับมาบ้านก็เคยพามาเป็นระยะ แต่มาแล้วก็ต้องหลบในบ้านเพราะแม่มดซันวา ช่วงหลังจึงไม่เอามาเที่ยวบ้านอีก

Yiching ป่วยเป็นโรคตับ ให้หมอรักษาเป็นระยะ เขาก็เหมือนคนบางวันก็ดี บางวันก็ป่วย แต่หมาจะมีความอดทนมาก ไม่ร้อง ไม่กวน นอนอย่างเดียว ไม่กินขนมที่ชอบ ทำให้เรารู้ว่าเขาไม่ค่อยสบาย

ทุกเช้าที่เราและ link ไปวัด yiching จะวิ่งออกมาจากห้องนอน (เขาจะนอน 2 ที่ คือห้องน้ำสะอาด ที่ไม่มีใครใช้ ไว้ให้เขานอนปูผ้าสบายเป็นส่วนตัว และเวลารำคาญโมจิที่ชอบกวนเขาก็จะวิ่งมาที่ห้องส่วนตัว ก็ไม่มีใครตามมา อีกที่เป็นใต้โต๊ะหน้ากุฎิที่มีผ้าคลุมเป็นห้องสบายอีกไว้นอนกลางวัน  ตอนเช้า meepole จะเจอกับ yiching ที่วิ่งมารับหน้ารั้ว เราก็อุ้มไปวาง เธอจะรู้ว่าเราจะหาขนมให้กินทุกเช้า เป็นขนมเค็ก ขนมถ้วยฟูู ขนมไข่ที่เธอชอบมาก จะให้ทั้งอัน เธอจะคาบวิ่งไปที่ห้องส่วนตัวแล้วค่อยเก็บไว้กิน เป็นเช่นนี้ตลอดมานาน และบางวันมีพิเศษให้ขนมหมา เบคอน สติคก์ประเภทต่างๆเธอจะชอบ

Yiching เป็นหมาเรียบร้อย สุภาพมาก แต่เข้มแข็งแบบเล็กพริกขี้หนู เธอจะเป็นตัวนำในการหา หนู งู ของบ้าน ไม่เคยกลัว และไวมาก จะเห่านำเมื่อเจอ และเป็นตัวหาที่เก่งซะด้วย พี่ๆเขาจะวิ่งมาตามเสียงและเธอจะอยู่ช่วยเสมอ ตอนอยู่ที่วัดเมื่อมีคนแปลกหน้า หมาที่ไม่ชอบใจบางตัวมาที่หน้ารั้ว เธอจะเห่าเสียงดังมาก

แม้เวลาที่อยู่ด้วยกันจะสั้น แต่meepole ถือเสมอว่าหากได้มาอยู่ร่วมกัน ให้ได้เป็นที่พึ่งกัน ถือว่าภพใดภพหนึ่งเคยมีบุญสัมพันธ์ต่อกัน ชาตินี้จึงได้มาเจอกัน เขาให้ความสุขทางใจ มีความบริสุทธ์น่ารัก กตัญญู ดีกว่าคนหลายๆคนนัก ไม่มีบาปชั่วอันใดที่ทำ หากจะล่าสัตว์ก็โดยสัญชาติญาณ (แต่ไม่เคยเห็นเขากัดอะไร) มีจิตที่ดี ไม่เบียดเบียน
 
 yiching  กับขนมหมาที่ชอบ
 
 
 เจ้าเรโอ นอนรอ เรโอกินเร็ว กินเสร็จก็จะมาเฝ้าเพื่อนเผื่อเหลือ หุหุ
เจ้าโมจิ ที่รักอี้ชิงมาก (แต่ yiching ไม่ชอบเขา) วันที่ yiching ตายเขานั่งเฝ้าตลอด ไปดึงผ้า เขี่ยตัวให้อี้ชิงตื่น ตอนฝังต้องพาเขาออกไป แต่เขารู้ เพราะหลังจากนั้นเขาไปนั่งเฝ้าที่หลุมหน้ากุฎิ และไม่ยอมให้เรโอกินอาหารจากชามของอี้ชิง จะเห็นว่าหมามีจิตใจ มีความรู้สึกผูกพันกันและกัน
 
 
บนล่าง yiching กับโปเต้ เขาสนิทกันมาก
 
 เล่นแรงไปหน่อย แต่ไม่เจ็บ
 
 
 yiching มาที่บ้านครั้งหลังสุดเมื่อเดือนตุลาปีที่แล้ว มาขุดหลุมนอน และคอยหลบเจ้าแม่มดซันวา
 
 yiching ตัดผมทรงหน้าม้า
 
ล่าง  ชาบู เพื่อนสนิทของ yiching (ตายไปก่อนปีที่แล้ว)
 
 
เย็นวันที่ 30 มค. ตรุษจีน meepole อยู่กทม. คนงานที่เลี้ยงเขาประจำมาให้อาหาร อาบน้ำ หาเห็บ ป้อนยา จนสนิทสนมมากทุกตัว บอก meepole ว่าเขากินอาหารได้มาก ร่าเริงปกติ ไม่มีอาการใดๆเลย จนกระทั่งเช้า 31 พระอาจารย์ออกมาเห็นเขาป่วยมากแล้ว ตามคนงานมาช่วยแต่เห็นว่าคงไม่รอดแน่แล้ว ในที่สุดเขาตายอย่างสงบมากในตอนบ่าย เอาเขาไปฝังข้างชาบูพร้อมของเล่นที่เขาชอบ คาบติดตัวตลอด
 
meepole และ link รู้ตอนวันที่ 1 แล้ว เสียใจ เศร้าใจ ...แต่ที่ดีใจคือตอนที่เขามีชีวิตอยู่เราได้เลี้ยงดูอย่างดีเท่าที่ทำได้ พระอาจารย์เลี้ยงอย่างดีมาก พวกเขามีบุญจริงๆ ให้ความเอ็นดู พุดคุย มีขนมให้กินได้อย่างบริบูรณ์
 
กลับมาจากกทม.ได้รีบแวะไปที่วัดเยี่ยมเขาที่หลุมก่อนกลับบ้าน เช้าตักบาตรอุทิศบุญให้เขา สู่สุคติภพ ดีใจนะที่เราได้รู้จักกันในชาตินี้และให้ความสุข ทุกครั้งที่เจอกันและจะไม่มีวันลืม Yiching ตลอดไป ขอให้หลับสบาย ไปเจอพี่ชาบู พี่ลานา วันหนึ่งเราอาจได้พบกันอีกครั้ง