วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2557

เที่ยวพม่าแบบบ้านๆ 4: พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว


พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว
เมื่อทานอาหารเที่ยงมื้อแรกเสร็จ ขึ้นรถเรียบร้อย รอไกด์เคลียร์ค่าใช้จ่ายกับร้าน พร้อมกับเด็กพม่าที่ยังคงมองมาที่รถพร้อมพึมพำอะไรเป็นระยะ แต่เราเองก็รู้สึกเป็นสุขลึกๆ แล้วรถก็เคลื่อนต่อไป  ชีวิตพวกเขาก็ดำเนินต่อไป
12.10 น.ไกด์บอกว่าต่อไปนี้จะเดินทางไกลอย่างน้อย 4 ชั่วโมงจะถึงปลายทางคือภูเขาไจ้เที่ยว เพื่อนมัสการพระธาตุอินทร์แขวน ...แต่ระหว่างทางจะผ่านโบราณสถานที่สำคัญที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองหงสา (นอกจากพระธาตุมุเตา) คือ พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว ที่คนไทยเรียกกันว่า พระนอนชเวตาเลียว
พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว (Shwethalyaung Buddha) เป็นพระนอนองศ์สีขาวสร้างโดยพระเจ้าเมงกะติปะ กษัตริย์มอญ เมื่อ พ.ศ.1537 ปัจจุบันพระนอนองค์นี้มีอายุ 1018 ปี ยาว 55 เมตร ซึ่งเป็นพระนอนไสยาสน์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 (รองจากพระนอนตาหวาน ที่ยาว 70 เมตร) มีพุทธลักษณะงดงาม โดยจะวางพระบาทเหลื่อมพระบาท ต่างจากพระพุทธไสยาสน์ของไทยที่นิยมวางพระบาทเสมอกัน และถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน และได้มีการค้นพบเมื่อราว 100 ปีก่อน ครั้งที่อังกฤษเดินทางมาสำรวจเส้นทางรถไฟในพม่า จากนั้นจึงได้บูรณะ มีพุทธลักษณะแตกต่างจากของไทยโดยเฉพาะที่พระบาท ที่จะไม่ตั้งชิดกัน แต่จะเกยกันเหมือนลักษณะของคนจริง ๆ ด้านหลังพระพุทธไสยาสน์ จะมีรูปภาพเล่าเรื่องราวประวัติการสร้างไว้
 
บน นร.พม่า ผ้าถุงเขียว เสื้อขาว มากราบพระ ด้วยกิริยาที่สงบ และตั้งใจมาก
ล่าง รูปวาดประวัติการสร้างตามตำนาน
 
 
ด้านหน้าข้างล่างของพระนอนนั้นเป็นจุดซื้อขายสินค้าพม่า โดยสินค้าที่เด่นๆก็เห็นจะเป็น งานไม้และงานฝีมือของพ่อค้าแม่ค้าชาวพม่าที่มีวางขายอยู่ทั่วไป เดี๋ยวนี้พม่าขายของเก่ง ต้องต่อราคาราว 30-40% ของที่บอก เราซื้อกังสดาล 1 ชิ้น 1500 บาท แพงหรือไม่ก็ไม่รู้เพราะซื้อมาถวายพระอาจารย์เอาไว้ตี บอกสัญญาณตอนประชุมพระ
ล้อหมุนอีกครั้งตอน 13.00 น.ซึ่งหลังจากนี้เราเริ่มจับสังเกตวิธีปฏิบัติของไกด์อ้อยได้อย่างหนึ่งคือ เธอจะนั่งหน้าสุดหลังคนขับ แล้วจะบอกเหมือนบ่นดังๆว่าสถานที่ที่กำลังจะผ่าน หรือผ่านพอดีคืออะไร ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคิดว่าไม่ดี เพราะถ่ายรูปไม่ทัน บางครั้งมองแล้วยังงง เพราะเธอไม่ได้บอกว่าอยู่ทางซ้ายหรือทางขวา ต้องหันสองทาง แล้วบางครั้งรถก็ผ่านไปแล้ว ติดลบเธอเป็น (-3)
ระหว่างเส้นทางนี้ส่วนใหญ่ผู้ร่วมทางจะหลับตลอด ไกด์หลับจนเราต้องถามว่านี่แม่น้ำสะโตงใช่ไหม เธอตื่นแล้วบอกว่า “ใช่”แล้วเธอก็พูดสิ่งที่อยากพูด สักครู่ก็หลับต่อ ส่วนเราและ link เพลิดเพลินกับทิวทัศน์แบบชนบทที่ยังเป็นธรรมชาติ ที่สังเกตระหว่างทางนี้เป็นนาถั่ว นาข้าว ทุ่งโล่ง แทบไม่มีป่าแบบบ้านเรา (พม่ามีเนื้อที่เป็นป่าเขาราวร้อยละ 45-50 เป็นทุ่งหญ้าร้อยละ 25 และพื้นที่เพาะปลูกร้อยละ 15 ประชาชนส่วนใหญ่ทำการเกษตร)
 
เส้นทางตลอดมีแตงโมวางขายข้างถนนเยอะมาก ลูกโตๆ เขาว่าแตงโมที่นี่มีทั้งปี ส่งไปประเทศจีน อีกสิ่งที่เห็นก็คือไม้ไผ่ มีการขนส่งไม้ไผ่  ที่พม่ามีการใช้ประโยชน์จากไม้ไผ่เยอะมาก  ฝาบ้าน รั้วบ้าน ไม้เท้ายัน ของเล่นต่างๆ กระทั่งปืนเด็กเล่นก็ทำจากไม้ไผ่ (มีรูปให้ดู)
 ชาวบ้านกับนาถั่ว เก็บถั่วใส่กระสอบ
 
นอกจากนี้ยังเห็นเจดีย์สีทองเป็นระยะๆ กระทั่งกลางทุ่งก็มี ใหญ่บ้างเล็กบ้าง อันนี้ไม่รู้ว่าบรรจุอะไรหรือไม่ แต่ทุกเจดีย์จะสีทอง และไม่ทรุดโทรมเหมือนมีการดูแล