วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ต่างมอง ต่างมุม..ใบไม้ 1 ใบ


 
จากกระแสการออกมาเปิดเผยถึงชีวิตรักหลังสึกของอดีตพระมิตซูโอะ คเวสโกหรือมิตซูโอะ ชิบาฮาชิกับ นางสุทธิรัตน์ มุตตามระ  กลายเป็นประเด็นที่สังคมจับจ้อง........เส้นทางธรรมที่ขาวสะอาดและเต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธาของชาวพุทธ กับชีวิตทางโลกที่สังคมให้ความสนใจ การอยู่ในศีลธรรมตามพระวินัยในช่วงชีวิตภายใต้ผ้าเหลืองที่กินเวลายาวนานถึง 38 พรรษานั้นกลายเป็นแบบอย่างอันดีงามนำมาซึ่งความศรัทธาที่มีต่อทั้งตัวท่านเอง และหลักธรรมที่ท่านเผยแผ่จนได้ฉายาว่า ซากุระที่ผลิบานเป็นดอกบัว" (http://manager.co.th)

 ปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงสถานะของตัวเองจากพระเป็นคนธรรมดาของอดีตพระชื่อดังชาวญี่ปุ่น  เมื่อชีวิตของท่านเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน จากนักบวชกลับเป็นปุถุชนนำมาซึ่งกระแสสังคมที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปในหลายทิศทางมีทั้งเกลียดชัง โกรธแค้น ไม่ชอบ สงสัย เข้าใจ ให้อภัย เฉยๆ นานาทัศนะ และความรู้สึก ที่แสดงความคิดเห็นต่อท้ายกันในโลกโซเชียล meepole ก็ได้ดูภาพและฟังเสียงจากสื่อโทรทัศน์ อ่านจากสื่อต่างๆ ก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆที่มีความรู้สึกต่อเรื่องนี้ในฐานะเป็นพุทธศาสนิกชนที่ได้มีการศึกษาธรรมะมาในระดับหนึ่ง ก็ทำให้มีมุมมองทั้งในฐานะที่เป็นฆราวาสทั่วไปที่เข้าใจว่าทำไมคนส่วนมากจึงไม่ชอบการกระทำของคนทั้งคู่...หากมองในลักษณะที่เอาหลักธรรมมาจับก็คงต้องวาง เมื่อถึงเวลาที่เจ้ากรรมนายเวร มารผจญ หรือเวลาที่เราจะหมดบุญในสถานะหนึ่งๆ หากเราไม่เข้มแข็ง ไม่ใคร่ครวญพิจารณาโดยใช้สติ มากกว่าอารมณ์  มันก็พ่ายแพ้แก่มารได้เช่นกัน  ในพระไตรปิฎกก็มีพระภิกษุที่พ่ายแพ้ต่อมารที่มาผจญและลาสิกขาบทออกไป บวช สึก หลายครั้งเช่น พระจิตตหัตถะเถระ ซึ่งในที่สุดก็รู้ว่าอะไรเป็นวิถีทางที่ถูกต้อง  ในกรณีนี้ของอดีตพระมิตซูโอะ คเวสโกอาจไม่ได้ที่จิตแน่วแน่ ทำให้ไม่สามารถเอาชนะมารที่เข้ามาได้ และอาจไม่มีกัลยาณมิตรทางธรรมที่เป็นที่ปรึกษาก่อนตัดสินใจ เรื่องจึงออกมาเป็นเช่นนี้

โชนรังสี เฉลิมชัยกิจ กรรมการผู้จัดการสำนักพิมพ์สุขภาพใจมองว่า การเลือกทางเดินในชีวิตของมิตซูโอะนั้น ไม่ผิด
เราต้องเคารพในความคิดของคนคนหนึ่ง ชีวิตเขาไม่ใช่ของเรา เชื่อว่าสิ่งที่ท่านเคยสอนเป็นธรรมะตามธรรมชาติเป็นเรื่องที่ช่วยสังคมได้ มันก็ยังเป็นสิ่งที่มีความงามอยู่ งามอย่างไรก็งามอย่างนั้น

หากมองอีกมุมหนี่งในทัศนะของสงฆ์รูปหนึ่งที่เป็นที่รู้จักและท่านกล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์ ..พระพยอม กล่าวว่า “มิตซูโอะรบมา 38 พรรษา แต่มาพ่ายแพ้ให้กับสีกาคนนี้ ภาษาธรรมะเรียกว่า ผู้ตายจากความเป็นพระ เป็นตาลยอดด้วนที่มีแต่วันเฉาตายไป บางทีเหมือนไม่รับความจริง อ้างว่าเคยเจอกันแต่ชาติปางก่อน บุพเพสันนิวาส แล้วอยู่ใกล้ชิดกันจน....... ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้น อันดับแรกต้องโทษมิตซูโอะที่ไม่ระวังตัวให้ดี อันดับ 2 ตัวผู้หญิงที่ตามไล่บี้ เรียกว่าเจตนามีความต้องการ เสียดายพระอย่างนี้ควรเอาไว้เป็นส่วนกลาง ไม่ควรเอาเป็นส่วนตัว คนวัยอย่างนี้น่าจะอยู่สืบศาสนามากกว่าไปสืบพันธุ์ ซึ่งภาษาหลวงพ่อปัญญา บอกว่า "ตายซะในการต่อสู้ ดีกว่าอยู่อย่างคนแพ้"  และการออกมาเปิดตัวเรื่องราวชีวิตรักของพระมิตซูโอะครั้งนี้เท่ากับเป็นการเปิดแผลให้บรรดาลูกศิษย์ที่ให้ความเคารพนับถือแย่ลงไปอีก ทั้ง ๆ ที่มีทีท่าว่าจะลืมไปได้แล้ว แต่มาเผลอพูดเรื่องตะกายสวรรค์ แทนที่จะทำกันแบบเงียบ ๆ ถ้าเขียนหนังสือก็ควรเขียนเงียบ ๆ ไม่ควรเอาภาพหวานแหววมาลงหนังสือธรรมะ ยิ่งเป็นหนังสือธรรมะของผู้แพ้.............”
(http://hilight.kapook.com/view/92108)

ขณะที่ พระเทพวิสุทธิกวี เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เรื่องของมิตซูโอะควรจะจบได้แล้ว เพราะการที่ออกมาพูดเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องเสียตัวเมื่อไร ไปทำอะไรที่ไหนมาบ้างนั้น ตนถือว่าไม่เหมาะสม และควรจะหยุดพูด เพราะยิ่งพูดมีแต่ยิ่งเสีย คนก็จะเสื่อมศรัทธายิ่งขึ้นไปอีก และที่สำคัญอยากจะวิงวอนสื่อไม่ควรสัมภาษณ์อะไรอีก เพราะถ้ายังให้ความสนใจก็จะเป็นการส่งเสริมหรือเป็นการโปรโมทหนังสือของเขา ส่วนตนเห็นว่าไม่ควรช่วยกันส่งเสริม และอยากให้ทุกคนใช้วิจารณญาณเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

ส่วนทางด้าน พระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ เจ้าคณะภาค 12 เผยว่า เรื่องเสียความบริสุทธิ์นั้นไม่ควรจะออกมาพูด แม้แต่ชาวบ้านเขาก็ไม่พูดกัน เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัวมาก ๆ นอกจากนี้ พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร) จนฺทสาโร รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแผ่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ก็ออกมาพูดเช่นเดียวกันว่า มิตซูโอะเป็นคนต่างประเทศที่มาบวชและเป็นลูกศิษย์คนแรกของหลวงพ่อชา เป็นนักบวชที่มีชื่อเสียง ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น สังคมไทยรู้สึกช็อกว่าทำไมพระที่บวชมาถึงขนาดนี้จึงตัดสินใจสึก ซึ่งสาเหตุก็มาจากสตรีเพศ และช็อกต่อรองสอบ เมื่อท่านออกสื่อกับภรรยาอย่างไม่เก้อเขิน อีกทั้งหนังสือทั้งสองเล่ม ก็ยังมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม โดยตนมองว่าสังคมไทยรับการกระทำและการแสดงออกของท่านได้ยาก
(http://hilight.kapook.com/view/92187)

ดังนั้นก็อย่าไปซ้ำเติมอะไร เพราะต่างคนต่างมุมมอง ต่างความคิด การยึดติด ศรัทธาในตัวบุคคลมากเกินก็ทำให้ผิดหวังมากเป็นธรรมดาของปุถุชนได้ ชีวิตของเขาก็ต้องดำเนินต่อไปไม่ว่าถูกต้องหรือผิดพลาดที่ทำมาแล้ว ก็จะส่งผลต่อชีวิตเขาที่เหลืออยู่ ไม่ว่าเขาจะแก้ตัว แก้ต่าง อธิบายยังไงก็ไม่มีใครเข้าใจความจริงได้ เท่าตัวของพวกเขาเอง กุศลกรรม อกุศลกรรม จะตามติดพวกเขาเหมือนเงาตามตัว   เราเองอย่าทำให้ตัวเราต้องติดบาปกรรมไปเพราะความไม่รู้จริงของเราเช่นกัน ที่สำคัญตอนนี้เราคนพุทธก็ยังคงมีพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เป็นหลักในการดำเนินชีวิต มีพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าที่ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบให้เรากราบไหว้ เป็นแบบอย่างที่ดี และศึกษาธรรมะจากท่านอีกมากมาย ท่านที่สึกไปก็เป็นเพียงใบไม้ 1 ใบ ในป่าใหญ่ที่ถูกปลิดออกไป ก็เท่านั้นเอง........

คำของท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่าดูให้ดีมีแต่ได้ ความหมายคือ มองให้เห็นความจริงที่เกิดขึ้น แล้วใช้มันเป็นบทเรียนในการดำเนินชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเราเองหรือคนอื่น