จากข่าวที่อ่าน
โผล่อีก !
ป้ายผ้าปริศนาแช่งคนขวางจ่ายเงินจำนำข้าว โผล่บนสะพานลอย บริเวณถนนแจ้งวัฒนะ
เบื้องต้นยังไม่ทราบเป็นการกระทำของกลุ่มใด
วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้พบเห็นป้ายผ้าปริศนาบนสะพานลอยแห่งหนึ่ง บริเวณถนนแจ้งวัฒนะ โดยป้ายผ้าดังกล่าวมีข้อความว่า "ใครขวางจ่ายเงินชาวนา ? ขอให้มันวิบัติ 7 ชั่วโคตร!"
วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้พบเห็นป้ายผ้าปริศนาบนสะพานลอยแห่งหนึ่ง บริเวณถนนแจ้งวัฒนะ โดยป้ายผ้าดังกล่าวมีข้อความว่า "ใครขวางจ่ายเงินชาวนา ? ขอให้มันวิบัติ 7 ชั่วโคตร!"
ที่มาภาพ และข่าว http://hilight.kapook.com/view/98164
ก่อนหน้านี้ก็มีการสัมภาษณ์ออกสื่อของนักการเมืองที่ชอบโกหกเป็นอาจิณ
(จนเป็นสันดานแล้ว)มี การสบถแช่งออกจากปาก
meepole กำลังฟังข่าวได้ยินด้วยความตกใจครั้งหนึ่ง
เหตุที่ตกใจเพราะคนส่วนมากรู้ๆอยู่ว่าคนที่กำลังแช่งผู้อื่นเพราะอยากท้าทายนั้นเป็นคนใจสกปรก มีการกระทำที่ผิดคุณธรรมมาตลอดทั้งยังส่งเสริมลูกให้ทำผิดอีกด้วย
คนทำสิ่งชั่ว คิดชั่ว พูดชั่วเช่นนั้นจะแช่งคนอื่นได้อย่างไร
คำแช่งทั้งหมดจะกลับเข้าสู่ตัวเขาเองในที่สุด...น่าสงสารจริงๆ มาเมื่อสองวันเห็นข่าวข้างต้นอีก ก็เลยทำให้ meepole นึกถึงคู่ภรรยา
สามี (มีอาชีพที่ชอบรีดไถเลี้ยงชีวิต) ที่เบียดเบียนครอบครัว meepole และเพื่อนที่รู้จักอีกราย
แต่พวกเราไม่มีใครเดือดร้อนมากมายเพราะกรรมใดใครก่อผู้นั้นทุกข์เอง
พวกเราไม่ได้ทำอะไรก็เลยไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ จึงได้แต่นั่งดูไปเรื่อยๆแบบอหิงสาเช่นกัน อยากทำอะไรก็ทำไป อยากไปจ้างจนท.สร้างหลักฐานเท็จสารพัดก็ทำไป
ส่งเรื่องไปสารพัดเรื่องก็ให้ทำไป ก็มองด้วยความสงสารที่ดิ้นรนอยากได้ของคนอื่นจนตัวสั่น
ไม่ละอาย เลี้ยงลูกด้วยเงินบาปที่รีดไถหลายครอบครัวมานานจนเป็นสันดานได้ใจ
เมื่อทำอะไรไม่ได้สุดท้ายก็เขียนคำแช่งร่อนไปทั่ว เพื่อนที่ถูกเบียดเบียนเอามาให้อ่าน
อ่านเสร็จก็ขำกลิ้ง แล้วพูดเกือบพร้อมกันว่าสงสัยมันไม่มีทางไปอยากได้มาก
จนต้องแช่งคน จริงๆ ลึกๆ meepole กลัว แต่ไม่ได้กลัวคำแช่ง แต่กลัวว่าคำแช่งนั้นจะเข้าตัวผู้แช่งสามีภรรยาและลูกๆสองคนของเขาเองแน่นอน
เพราะพวกเรารู้ว่างานนี้พวกเขาทำผิดมาตลอดแล้ว กรรมใครก่อก็รับไปเอง พวกเราก็รอดู
รอเวลาเหมือนดูหนังภาค 1 2 3 เท่าที่รู้ก็น่าสงสารพวกเขาที่ต้องเหนื่อยไม่ได้หยุดก่อกรรมเลย
ได้ทำอกุศลกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ลูกเขาคงต้องรับกรรมที่พ่อแม่ก่อนั้นยาวไปนาน..
จริงๆแล้วเรื่องการแช่งผุ้อื่นนั้นเป็นเรื่องต้องระวังมากทีเดียว การถูกแช่งไม่ใช่เป็นสิ่งต้องกลัวเกรง เพราะการแช่งไม่ได้จะเกิดผลง่ายดังคำแช่งนั้น แต่มีหลายเหตุปัจจัยมาก อย่างน้อยเบื้องต้นให้แน่ใจก่อนเลยว่า คนดีๆ เขาไม่แช่งใครหรอก ส่วนมากการแช่งมักจะออกจากความคิด ปาก ของผู้มีโทสะ โมหะจริต มีจิตอาฆาตมุ่งร้าย ทั้งสิ้น จึงทำให้ไม่ได้ผล มีการเปรียบเทียบว่า
.......”.คนที่แช่งเขาเหมือนคนที่หยิบคบเพลิงเดินทวนลม เปลวไฟจากคบเพลิงนั้น แม้จะทำให้เกิดแสงสว่าง แต่ก็นำมาซึ่งความร้อนแก่ผู้ถือคบเพลิงอย่างน่าสงสาร ด่าแช่งเขาจึงไม่ต่างอะไรกับการจุดไฟเผาตัวเอง ขณะที่เผาคนอื่นก็มีค่าเท่ากับเผาตัวเองไปพร้อมๆ กัน”.....ในคัมภีร์ของคริสต์กล่าวว่า
จริงๆแล้วเรื่องการแช่งผุ้อื่นนั้นเป็นเรื่องต้องระวังมากทีเดียว การถูกแช่งไม่ใช่เป็นสิ่งต้องกลัวเกรง เพราะการแช่งไม่ได้จะเกิดผลง่ายดังคำแช่งนั้น แต่มีหลายเหตุปัจจัยมาก อย่างน้อยเบื้องต้นให้แน่ใจก่อนเลยว่า คนดีๆ เขาไม่แช่งใครหรอก ส่วนมากการแช่งมักจะออกจากความคิด ปาก ของผู้มีโทสะ โมหะจริต มีจิตอาฆาตมุ่งร้าย ทั้งสิ้น จึงทำให้ไม่ได้ผล มีการเปรียบเทียบว่า
.......”.คนที่แช่งเขาเหมือนคนที่หยิบคบเพลิงเดินทวนลม เปลวไฟจากคบเพลิงนั้น แม้จะทำให้เกิดแสงสว่าง แต่ก็นำมาซึ่งความร้อนแก่ผู้ถือคบเพลิงอย่างน่าสงสาร ด่าแช่งเขาจึงไม่ต่างอะไรกับการจุดไฟเผาตัวเอง ขณะที่เผาคนอื่นก็มีค่าเท่ากับเผาตัวเองไปพร้อมๆ กัน”.....ในคัมภีร์ของคริสต์กล่าวว่า
“คุณเคยแช่งสาปใครเอาไว้ แต่ในที่สุดคุณเองกลับเป็นคนที่ต้องประสบกับเรื่องที่คุณแช่งสาปคนอื่นเอาไว้หรือไม่
บาปย่อมนำไปสู่การถูกทำลาย โดยเฉพาะบาปปากและลิ้น พระคัมภีร์กล่าวว่า “ลิ้นเป็นไฟ เป็นเหตุให้ทั้งกายเป็นมลทิน
เผาไหม้ชีวิต ติดไฟนรก เต็มไปด้วยพิษร้ายถึงตาย” (ยก. ๓:๖, ๘)
ทุกวันนี้เราคงเห็นคนมากมายที่อดีตอาจจะดูเหมือนรุ่งเรือง
แต่เพราะความที่มีตำแหน่ง สามารถใช้ตำแหน่งข่มขู่ หลอกลวง ได้วางกับดักคนอื่นโดยการโกหก
สร้างภาพให้คนหลงเชื่อ แล้วสาปแช่งเมื่อไม่สำเร็จดังใจ และปัจจุบันชีวิตของพวกเขาติดกับดักคำพูดตนเอง ชีวิตเป็นมลทิน ซึ่งจะนำไปสู่ความหมดตัวและหมดอนาคตในที่สุด
พระคัมภีร์จึงสอนให้เราไม่สาปแช่งผู้อื่น
แม้คนเหล่านั้นจะพยายามข่มเหงรังแกคุณ “จงอวยพรแก่คนที่เคี่ยวเข็ญท่าน จงให้พร อย่าแช่งด่าเลย” (รม. ๑๒:๑๔)
[๑๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นที่ระงับความอาฆาตซึ่งเกิดขึ้นแก่ภิกษุโดยประมาณทั้งปวง ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญเมตตาในบุคคลนั้น ๑
ความอาฆาตพึงบังเกิดในบุคคลใด พึงเจริญกรุณาในบุคคลนั้น ๑
ความอาฆาตพึงบังเกิดในบุคคลใด พึงเจริญอุเบกขาในบุคคลนั้น ๑
ความอาฆาตพึงบังเกิดในบุคคลใด พึงถึงการไม่นึกไม่ใฝ่ใจในบุคคลนั้น ๑
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงนึกถึงความเป็นผู้มีกรรมเป็นของ ๆ ตนให้มั่นในบุคคลนั้นว่า ท่าผู้นี้เป็นผู้มีกรรมเป็นของๆตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเป็นทายาท (ผู้รับผล) ของกรรมนั้น ดังนี้ ๑
ชาวพุทธควรละเว้นการสาปแช่ง เพราะว่าทันทีที่เราสาปแช่งเขา
บาปกรรมก็ตกอยู่กับเราแล้วเพราะเป็นมโนกรรมและวจีกรรมที่เป็นอกุศล ความพยาบาทก็ดี การพูดจาสาปแช่งก็ดีเป็นบาปกรรมที่จะทำร้ายเราเอง
ไม่ใช่ทำร้ายใครเลย พวกเราชาวพุทธจึงควรหลีกเลี่ยง
สาปแช่งของคนอื่น ไม่น่ากลัวเท่าการกระทำของเราเอง
ยิ่งตัวบุคคลที่กล่าวคำสาปแช่งนั้นนั่นแหละ
ยิ่งน่าเห็นใจ
เพราะอกุศลจิตของเขาคงมีกำลังมากและเกิดดับสืบต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน
เมื่อถึงคราวที่อกุศลนั้นจะให้ผล
เขาคงต้องได้รับผลนั้นมากตามไปด้วย
วาจาธรรมดาก็กลายเป็นวาจาสิทธิ์
ไม่ต้องใส่ใจ หากคนอื่นคิดไม่ดีกับเรา เราอโหสิ แผ่เมตตาให้ไป
จะเป็นบุญเป็นกุศลเป็นบารมีกับเราเอง
เหมือนที่เราทำให้
“สุขเกษม” เป็นประจำ ขอให้เป็นสุข ๆ เถิด ขอให้รู้จักพอเพียง เถิด